ยินดีต้อนรับเข้าสู่เว็บไซต์ วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ www.weerasak.org
รมว.ท่องเที่ยวฯ ทึ่ง! “เกาะเต่า” เอาจริงเรื่องสิ่งแวดล้อม 4,000 ครัวเรือน มุ่งมั่น Go Green
24 กันยายน 2561 พารนี ปัทมานันท์
คุณวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 23 ก.ย. ที่ผ่านมาว่า นับเป็นครั้งแรกที่ตนได้มีโอกาสมาเยือนเกาะเต่า สถานที่ดำน้ำระดับโลก ซึ่งได้รับการโหวตจากทั่วโลกว่าสวยที่สุดมาตลอดทุกปี แต่ต้องยอมรับว่าแหล่งท่องเที่ยวแห่งนี้ กำลังเผชิญกับปัญหา “ขยะล้น” เหมือนกับเมืองอื่นๆ ทั่วโลก ล่าสุดเท่าที่ทราบ เกาะเต่า มี “ขยะเดิม” ที่ค้างเก่าอยู่บนเกาะหลายพันตัน แต่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต่างช่วยกันแก้ไขปัญหา ด้วยการนำนวัตกรรมสายพานบีบอัดขยะที่คัดแยกให้ไม่มีอินทรีย์สาร คือ ไม่ปนเศษอาหาร แล้วนำมากองรวมบนพื้นที่ 4 ไร่ ก่อนนำขยะนั้น มาบีบอัดให้ไม่ชุ่มน้ำแล้วห่อด้วยเครื่องพันแผ่นพลาสติกใสหลายสิบชั้น เหมือนกับการห่อป้องกันกระเป๋าเดินทางที่สนามบิน ทำให้ขยะไม่มีน้ำหยดออกมา ไม่ส่งกลิ่น จากนั้นนำก้อนขยะอัดแท่งนี้บรรจุลง “Big Bag-บิ๊กแบ๊ก” ก่อนขนส่งออกจากเกาะ เพื่อนำไปกำจัดบนแผ่นดินต่อไป
รมว.ท่องเที่ยวฯ เยี่ยมชมเกาะเต่า
รมว.ท่องเที่ยวฯ กล่าวต่อว่า หลังได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้นำชุมชนและตัวแทนผูู้ประกอบการ รู้สึก “ทึ่ง” กับการใส่ใจสิ่งแวดล้อม และสิ่งที่ “ประชาคมเกาะเต่า” กำลังวางแผนดำเนินการร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรมในการงดและลดขยะพลาสติก เช่น ร้านอาหาร รีสอร์ต หลายแห่ง ใช้หลอดดูดที่ทำจากกิ่งไม้ไผ่ หลอดแก้ว หลอดสเตนเลส หรือแม้แต่หลอดจากผักบุ้ง ร้านค้าตามชุมชนน้อยใหญ่ ต่างพากันใช้ถุงพลาสติกย่อยสลายได้ในดิน มีการแจกถุงผ้าใช้กันเอง สานตะกร้าใบยอ ตะกร้าใบเตย ช้อนส้อมไม้ สั่งบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากแป้งมันสำปะหลังมาใช้กันอย่างสร้างสรรค์ โดยไม่ต้องมีใครบังคับ
“หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ต้องรณรงค์อะไรที่นี่เลย เพราะชาวบ้านและประชาคมธุรกิจที่นี่ตื่นแล้ว และทราบมาว่ากำลังจะขอให้ร้านสะดวกซื้อที่เปิดอยู่ทั่วทั้งเกาะ งดแจกถุงพลาสติกร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งสุดยอดมาก นอกจากนี้ยังมีการทำน้ำหมักกันแพร่หลาย ใช้ผลิตน้ำยาล้างห้องน้ำ ยาสีฟัน สบู่ แชมพู ใช้กันเอง มีจุดเติมน้ำดื่มให้ฟรีหลายๆ จุดถ้าคนนั้นใช้กระติกส่วนตัว เกาะเต่าวันนี้จึงกำลัง Go Green อย่างมุ่งมั่น ราษฎรตระหนักถึงคุณค่าของสิ่งแวดล้อม นักท่องเที่ยวเองก็จะได้เรียนรู้จากระบบที่ชาวเกาะเต่ามอบให้ ขอปรบมือให้ดังๆ เลยครับ” รมว.ท่องเที่ยวฯ กล่าว
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.khaosod.co.th/sentangsedtee/featured/article_90879
ธนาคารปูม้าแหลมผักเบี้ย กินกันได้แบบยั่งยืน เมื่อคืนปูรุ่นลูกให้ธรรมชาติ
03 มีนาคม 2561 สุรเดช สดคมขำ
นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ได้ลงพื้นที่แหลมผักเบี้ยที่เพชรบุรี และเยี่ยมประชุมกับกลุ่มชุมชนธนาคารปูม้า ชุมชนนี้เริ่มทำกิจกรรมท่องเที่ยวชุมชนฐานเรียนรู้..มีโฮมสเตย์หลายหลัง..มีผู้มาเยือนดูงานเป็นรถบัสบ่อยๆ มีทั้งชาวไทย ชาวจีน และจากประเทศเพื่อนบ้าน แม่บ้านในชุมชนนี้รวมกันทำระบบธนาคารปูม้าที่น่าชื่นชมมาก โดยศึกษาว่าปูม้านั้นหากจับกินแบบไม่สร้างการคืนปูรุ่นลูกให้ธรรมชาติ ปูม้าจะหมดไปได้ ซึ่งเคยมีการขาดแคลนหายากจนเป็นปัญหามาแล้ว
“ชาวบ้านจึงใช้ผลการศึกษาดูงานจากที่อื่นมาพัฒนาให้มีถังไว้เก็บแม่ปูที่มีไข่แล้ว..ซึ่งดูง่ายๆว่าถ้าที่ท้องมีไข่สีออกเหลืองๆเป็นพวง..แปลว่าอีก 7 วันไข่จะกลายเป็นลูกปู ถ้าเป็นสีคล้ำลงจนดำ แปลว่าใน24ชม.จะเป็นลูกปู ซึ่งลูกปูจะอ่อนแอมาก ดังนั้นธนาคารปูม้าจึงเอาแม่ปูมีไข่มาหย่อนไว้ในถังที่มีฟองเพิ่มออกซิเจน เพื่อทำให้แม่ปูอยู่ได้ดีไม่มีการรบกวนจนไข่เป็นลูกปู คราวละกว่าแสนตัว จากนั้นก็ให้นักท่องเที่ยวเอาถังใบเล็กมาตักไปเทปล่อยที่ทะเลช่วงน้ำลง เพื่อให้น้ำทะเลพาลูกปูออกสู่ชายฝั่งป่าโกงกาง จะได้มีโอกาสรอดและเติบโต”
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า วิธีนี้ช่วยทำให้มีปูรอดเพิ่มในแต่ละท้องอีกราว10% เพิ่มทั้งความสมบูรณ์ให้ธรรมชาติ และเพิ่มความยั่งยืนให้ชาวประมงจับปู เพิ่มความยั่งยืนให้การท่องเที่ยวดูงาน นักท่องเที่ยวมักจะยินดีมอบเงินสนับสนุนธนาคารปูม้ากันเอง ซึ่งกลับมียอดสูงกว่าการคิดค่าตักปูไปปล่อยแบบถังละไม่กี่บาท จากนั้นนักท่องเที่ยวก็จะก็จะไปซื้อผลผลิตจากเรือประมงที่จับมาได้และมีแม่บ้านของชุมชนช่วยทำสุกให้รับประทาน ที่เพิงริมท่าขึ้นปลาเลย
นายวีระศักดิ์ บอกด้วยว่า ชาวบ้านใช้หลักความพอเพียงพอประมาณในการบริหารกิจการท่องเที่ยวนี้ ไม่ยอมเปิดเป็นร้านอาหารเพราะนั่นคือการต้องทำเมนูตามใจตลาด แต่ชาวบ้านตัดสินใจว่านักท่องเที่ยวต้องเลือกทานแต่สิ่งที่ที่นี่มีในวันนี้จากเรือประมงเท่านั้น ดังนั้น..ที่นี่จึงต้องสั่งวัตถุดิบมาจากข้างนอก ขายในสิ่งที่มี กินแต่สิ่งที่หา ซึ่งลูกค้าชมมากว่าอร่อย สด และได้บรรยากาศจริงแท้ของชาวบ้าน จึงเพิ่มปริมาณมาดูงานศึกษากิจกรรมทั้งประมง ทั้งการปลูกพืชผัก การเลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่น และอื่นๆที่ชาวบ้านใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นทำไว้
“โดยชุมชนเมื่อประชุมและพาผมตักลูกปูไปปล่อยแล้ว..ชาวบ้านขอรับการช่วยเหลือจากกระทรวงการท่องเที่ยวฯเรื่องป้ายบอกทาง ห้องน้ำสำหรับคนเดินทาง และขอรถรางนำชม เพราะที่ใช้อยู่คือรถสามล้อแดงซึ่งเล็กเกินกว่าจะรับนักท่องเที่ยวดูงานที่มักมาเป็นคันรถบัส และขอรูปปั้นปูตัวโตๆมาเป็นสัญลักษณ์ด้านหน้าให้เป็นแลนด์มารค์ให้นักท่องเที่ยวมาถูก มาถึงง่ายขึ้น มีรถพาชมฐานงานพัฒนาไปตามจุดต่างๆของชุมชนที่สะดวกขึ้น ซึ่งรองอธิบดีกรมการท่องเที่ยวซึ่งมาด้วยในคณะได้รับประเด็นนี้ไปตั้งคำของบมาดำเนินการให้ในปี 62 ต่อไปครับ “นายวีระศักดิ์ กล่าว
“คืนนี้ผมมุ่งหน้าต่อไปประจวบคีรีขันธ์ ค้างแรมในโฮมสเตย์ของชมรมท่องเที่ยวชุมชนอ่าวน้อย พรุ่งนี้จะเยี่ยมประชุมกับชุมชนท่องเที่ยวของกลุ่มชาวบ้านเผ่าไทยทรงดำ แล้วจึงแล่นย้อนมาพบกับชุมชนที่แก่งกระจาน ของจ.เพชรบุรีต่อไปครับ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวทิ้งท้าย
ที่มา มติชนออนไลน์...
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.khaosod.co.th/technologychaoban/techno-news/article_48993
‘วีระศักดิ์’ เผย ซีเอ็นเอ็น จัดอันดับ ‘มัสมั่น’ สุดยอดอาหารอร่อยที่สุดในโลก เล็งส่งเสริมภูมิปัญญาไทย
01 มีนาคม 2561 จิรวรรณ โรจนพรทิพย์
เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2561 นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น (CNN) ได้รายงานอันดับอาหารอร่อย 50 เมนู จากทั่วโลก ปรากฏว่าแกงมัสมั่นของประเทศไทย ได้รับการจัดอันดับให้เป็นอาหารที่อร่อยที่สุด
“ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก ที่เมนูวัฒนธรรมอาหารของชาวบ้านตำรับไทยได้รับการยอมรับ และยกย่องจากนักชิมสากลจนได้รับการโหวตให้เป็นสุดยอดอาหารอร่อยของโลกอย่างสม่ำเสมอ รัฐบาลไทย โดยกระทรวงการท่องเที่ยวฯ เห็นประโยชน์จากเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เพราะเป็นช่องทางที่ช่วยให้ชุมชน และคนในครัวตัวเล็กๆ จะสูงวัย หรือเด็กหัดทำกับข้าว จะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ต่างภูมิใจในความเป็นเจ้าของวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่ และทรงอิทธิพลต่อโลกมากขึ้นเรื่อยๆ” นายวีระศักดิ์ กล่าวและว่า อิทธิพลของวัฒนธรรมอาหารเป็นสิ่งที่อยู่มาข้ามศตวรรษ และจะอยู่ไปข้ามศตวรรษ
“และนี่จึงเป็นความยั่งยืน เป็นความเก๋ไก๋ในการใช้วัตถุดิบและภูมิปัญญาไทย ที่เราทุกคนจะรักษาและถ่ายทอดต่อเป็นมรดกจากรุ่นสู่รุ่นไปได้อีกยาวนาน” นายวีระศักดิ์ กล่าว...
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.khaosod.co.th/technologychaoban/techno-news/article_48825
วีระศักดิ์’ เยือน ‘วังน้ำเขียว’ เปิดงานดอกเบญจมาศ ยกย่องไทยนิยมยั่งยืน
12 กุมภาพันธ์ 2561 จิรวรรณ โรจนพรทิพย์
วันที่ 11 กุมภาพันธ์ นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ตนได้ไปเยี่ยมและร่วมรับฟังข้อคิดจากท้องถิ่น โดยได้รับเชิญจากสภาองค์กรชุมชนของทั้ง 20 จังหวัดภาคอีสาน ซึ่งเคยทำงานแผนแม่บทการเงินการคลังภาคสังคมมาด้วยกัน โดยได้ไปเยี่ยมและให้กำลังใจชุมชนท่องเที่ยวที่อำเภอวังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา ชมการท่องเที่ยงเชิงเกษตร เยี่ยมหมู่บ้านชุมชนไทยสามัคคี
รวมทั้งเป็นประธานเปิดงานเทศกาลดอกเบญจมาศบานในม่านหมอกที่วังน้ำเขียว หุบเขาที่ได้ชื่อว่ามีโอโซนสูงเป็นอันดับ 7 ของโลก งานเทศกาลดอกไม้นี้จัดโดยองค์กรชุมชนแท้ๆ เป็นความพยายามจัดอีเวนต์ท้องถิ่นโดยใช้สิ่งที่มีอยู่ในท้องถิ่นออกมาร้อยเป็นซีรีส์ กิจกรรมครั้งนี้จึงย่อมเป็นการลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความยั่งยืน กระจายการมีส่วนร่วม และคือการพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานรากจริงๆ การจัดงานทำด้วยการจ้างเกษตรกรในอำเภอมาช่วยกันลงมือปลูกและแปลงลานอเนกประสงค์ของ อบต.ให้เป็นลานงานแฟร์ที่นักท่องเที่ยวจำนวนมากพากันมาสัมผัส เป็นไทยนิยมยั่งยืนที่พึ่งตนเองอย่างน่ายกย่องมาก
ที่ : https://www.khaosod.co.th/technologychaoban/techno-news/article_46358
วันที่ 4 กุมภาพันธ 2561 รมว.ท่องเที่ยวสมัย 3 วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ เลิกกวัก-เน้นยั่งยืน (ชมคลิป) กลับมานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นสมัยที่ 3 ครั้งนี้เขาบอกว่าเลิกกวักมือเรียกนักท่องเที่ยวเหมือนที่ผ่านมา แต่จะมุ่งไปที่การทำให้การท่องเที่ยวยั่งยืน โดยการผ่าตัดยกเครื่องโครงสร้างใหม่ทั้งหมด
“เพราะท่องเที่ยวไม่ควรเอาชุมชนมารับใช้ แต่ควรจะไปรับใช้ชุมชน ถ้าคุณจับปรัชญานี้ได้ คุณจะเปลี่ยนมายด์เซตของการอยู่กับท่องเที่ยวมา 57 ปีได้ ถามว่าง่ายมั้ย ไม่ง่าย แต่ถามว่าควรทำหรือยัง ควรทำแล้ว”
วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ เกิดเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ.2508 ที่จังหวัดอุบลราชธานี เป็นบุตรของนายวิชัย และนางนันทนา โควสุรัตน์
หลังจากจบมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนสามเสนวิทยาลัย ได้ทุน AFS ไปหาประสบการณ์ในสหรัฐอเมริกา 1 ปี การศึกษาระดับปริญญาตรี เป็นนิติศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยม) จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ.2532 ได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้ช่วยของ ศ.ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สมัยรัฐบาลของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี ในทีมที่ปรึกษา “บ้านพิษณุโลก” ขณะที่ยังเป็นนิสิต โดยมีส่วนร่วมดูแลงานด้านนโยบายสาธารณะ
หลังจากรัฐบาลถูกยึดอำนาจ เขาไปศึกษาต่อปริญญาโทด้านกฎหมาย ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา และกลับมาเป็นอาจารย์และที่ปรึกษาบริษัทต่างๆ อยู่ 3-4 ปี ก่อนจะถูกทาบทามเป็นผู้อำนวยการสำนักวิชาการให้กับบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 21 ทำงานมากมายทั้งด้านการเมือง กฎหมาย สังคม ประวัติศาสตร์ รวมไปถึงเรื่องของสิทธิเด็กและสตรี ได้รับการยกย่องจากองค์กร UNIFEM ของสหประชาชาติ เป็นต้นแบบดีเด่นด้านการรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อผู้หญิง
9 ปีที่ผ่านมา หลังลงจากตำแหน่ง รมว.การท่องเที่ยวฯ ในรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช และรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในปี 2551 เขายังคงทำงานอยู่เบื้องหลังมาโดยตลอด และแล้วในการปรับคณะรัฐมนตรี “ประยุทธ์ 5” เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2560 ชื่อของวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ก็เข้ามาเป็นเจ้ากระทรวงคนใหม่
“การกลับมาเป็นรัฐมนตรีการท่องเที่ยวฯของผมในมุมของการทำด้านมาร์เก็ตติ้งคือ การทำมาร์เก็ตติ้งด้านความงาม เพราะความสวยมันขายด้วยตัวของมันเองมา 40 ปีแล้ว จนกระทั่งโทรมมากแล้ว แต่ความงามยังไม่ค่อยได้ขาย เพราะเรายังไม่ได้เล่าเลย กลองยาว ตะโพน กลองมโหระทึก เรายังไม่ได้ให้โอกาสได้เล่าเลย ถ้าเราหาวิธีให้รู้มากพอแล้วเล่าแล้วสนุกด้วย ผมคิดว่าโลกจะค่อยๆ รู้สึกว่า ไปหมู่บ้านทำกลองดีกว่า”
วันนี้เรามีลูกค้า 35 ล้านคนเท่ากับครึ่งหนึ่งของประชากรไทย ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ แค่นั้นจบแล้ว ผมถือว่าจะไม่กวักมือเรียกนักท่องเที่ยวนอกประเทศแบบนั้นอีกแล้ว เราพอแล้ว ต่อไปนี้มาพูดถึงเรื่องเราจะพาเขาไปที่ไหนบ้าง เพราะครึ่งนึงของ 35 ล้านกระจุกอยู่ในเมืองหลัก
ผมเห็นอาการนี้มานานแล้ว ตั้งแต่ 9 ปีที่แล้ว ผมไม่มีจินตนาการว่ามันจะเป็น 35 ล้านในปีนี้ เพราะปีนั้นเรายังมีกีฬาสีอยู่ เอาแค่ 14 ล้านคนให้ได้ในปี 2551 ก็ถือว่าเก่งมากแล้ว พอผมพานักท่องเที่ยวกลับบ้านได้หมด ยุบพรรค ผมพ้นจากตำแหน่ง ผมบอกว่านับแต่นี้เป็นต้นไป คนที่ออกไป 3.5 แสนคนคือทูตทางการท่องเที่ยวของเรา เหมือนกับตอนเกิดสึนามิ เขาเข้าใจว่ามันเกิดสิ่งที่ไม่สะดวกขึ้น แต่ไม่มีใครคิดจะทำร้ายเขา มีแต่ความยิ้มแย้มยืดหยุ่น ซึ่งเป็นดีเอ็นเอคนไทย ขณะที่รัฐหนักไปทางหย่อนยาน แล้ววัฒนธรรมเราบางส่วนก็ไปทางหยวนๆ อะไรก็ได้ มันจึงไม่ยั่งยืน
ผมมาคราวนี้ผมจึงประกาศธงมาก่อนเลย เรามาทำการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนกันเถอะ ก่อนนี้ผมเป็นประธานบอร์ด อพท. องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ผมได้เรียนรู้จากคำว่า “ยั่งยืน” จากที่นั่น แทบจะทุกพื้นที่ที่เขาบริหารกับชุมชนอยู่นั้น เขาได้ความยั่งยืนมาแล้ว มีความแข็งแรงพอที่จะบอกว่า ไม่ใช่เราแข็งแรงจนท่านมา 1 หมื่นคนเราก็รับได้ แต่เรายั่งยืนพอที่จะบอกปฏิเสธว่าท่านอย่ามา นี่ต่างหากที่ยั่งยืน
ผมก็ทำเรื่องนี้มาตลอด ตั้งแต่ออกไป ไม่ได้คิดอะไรหรอก แต่พรรคพวกในอุตสาหกรรมชวนผมมาทำนั่นนี่ไม่หยุดเลย ผมก็ทำให้มาเรื่อยๆ เป็นเลขาธิการสมาพันธ์ภาพยนตร์แห่งชาติ เป็นประธานบอร์ด ททท. เป็น สสปน. ผมเป็นอธิการของวิทยาลัยการท่องเที่ยวและบริการ มหาวิทยาลัยรังสิต เป็นกรรมการท่องเที่ยวแห่งชาติ เป็นกรรมการภาพยนตร์แห่งชาติ ทั้งหมดนี้มันเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมบริการในประเทศไทย เป็น ผอ.ไอทีดี สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนาของอังค์ถัด ก็พูดถึงการพัฒนาอย่างยั่งยืน กลายเป็นว่าเราเห็นอะไร ไอ้นี่ไม่ใช่ ไอ้นี่ไม่ยั่งยืน แล้วก็จำไว้ถ้ามีจังหวะจะทำมัน ไม่นึกหรอกว่าจะต้องมาเป็นรัฐมนตรี
แต่เมื่อถูกขอให้มาร่วมรัฐบาล ก็คิดว่านี่คือ 100 เมตรสุดท้าย เพราะเขาประกาศแล้วนี่ว่าจะมีเลือกตั้งภายในอีก 1 ปี ก็ถือว่าแม้ผมจะต้องยอมสละตำแหน่งต่างๆ ทิ้งให้หมด 20-30 ตำแหน่ง ขายหุ้นให้เกลี้ยง เงินได้ที่เคยได้จะเหลืออยู่เพียง 1 ใน 5 แล้วก็บอกลูกเมียว่าอีก 1 ปีเจอกัน ไม่เกินนี้หรอก
ไม่พอหรอก อุตสาหกรรมนี้ค่อยๆ ก่อตัวมาโดยการรถไฟเมื่อ 58 ปีที่แล้ว ประเทศไทยไม่รู้จักการท่องเที่ยวหรอก จนการรถไฟมีแผนกการท่องเที่ยว และแผนกการท่องเที่ยวนี่เองที่ค่อยๆ อธิบายเรื่องนี้จนกระทั่งจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เห็นว่าน่าตั้ง อสท. องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย แยกงานเหล่านี้ออกมาจากการรถไฟแห่งประเทศไทย ก็ยังไม่มีกระบวนการที่คิดจะรับนักท่องเที่ยวหรอกนะ ก็แค่บอกว่าเมืองไทยมีที่น่าเที่ยว ไปเดินทางกันเถอะ ไม่มีใครมีจินตนาการเลยว่ามันจะมาถึง 35 ล้านคน
จนมาถึง 2540 เราก็เพิ่งมีนักท่องเที่ยวไม่ถึง 10 ล้าน แต่ชัดเจนว่ารายได้จากการท่องเที่ยวเริ่มเปลี่ยนจากลูกอมเม็ดเล็กๆ ที่ปลายโต๊ะเป็นขนมหวาน พอผมมาเป็น รมว.ปี 2550-2551 การท่องเที่ยวเริ่มกลายเป็นของหวานที่สำคัญแล้ว วันที่ผมก้าวออกไปผมรู้แล้วว่าจานนี้จะโตเรื่อยๆ แล้วแนวโน้มคือพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะโตขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่เพราะคนอื่นๆ แห่กันมา แต่เพราะเราจะแห่เที่ยวกันเอง วันนี้เราพูดได้เต็มปากเต็มคำแล้วว่าแหล่งท่องเที่ยวที่ใหญ่เท่าจีน คืออาเซียน เพราะเขาคือ 30% ของจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามา อีก 30% คือจีน ที่เหลือคือนักท่องเที่ยวอื่นๆ ปนกันทั่วโลก และที่ใหญ่พอกันคือ คนไทย
จนกระทั่ง 15 ปีที่แล้ว เราหนักกว่านั้นอีก ยุครัฐบาล 2545-2546 ตัดสินใจสร้างกระทรวงใหม่ 5 กระทรวง ไม่มีกระทรวงท่องเที่ยว การตั้งกระทรวงต้องตั้งเป็นพระราชบัญญัติ ก็อุ้มพระราชบัญญัติท้องแฝด 5 ไปรัฐสภา ผ่านสภาผู้แทนราษฎรสบายๆ แต่พอถึงวุฒิสภา ไม่ยอมให้คลอดได้ง่ายๆ ถ้าไม่ให้กระทรวงที่ 6 เขาขอกระทรวงกีฬา แต่ตอนนั้นไม่มีใครนึกว่าจะมีไทยไฟต์ ไทยพรีเมียร์ลีก ในเมื่อการกีฬาต้องเดินออกมาจากทำเนียบมารวมกับกรมพละ ที่สุดก็เอาการท่องเที่ยวไปแปะกับการกีฬา แล้วเปลี่ยนชื่อเป็นกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
ทุกกระทรวงล้วนมาแต่กรมเก่า คนเดิม งานเดิม รื้อป้ายเปลี่ยนชื่อเสียใหม่ ไม่มีตึกก็ไปเช่าเอา ผมถูกส่งไปกระทรวงการพัฒนาสังคมเป็นคนแรกจึงได้รู้ว่าการตั้งกระทรวงใหม่มันเป็นอย่างนี้นี่เอง คือตั้ง รมว.ก่อนแล้วค่อยไปควานหาปลัดกระทรวง และปลัดกระทรวงก็ไปชี้หาอธิบดี มันเริ่มจากข้างบนลงล่าง
พอมาถึงกระทรวงที่ 6 ก็มันเกิดมาจากสายกรมพละ มีแต่ข้าราชการกีฬา ไม่มีใครรู้เรื่องท่องเที่ยว ถึงได้รู้ว่าข้าราชการไทย 2 ล้านคนไม่เคยถูกเทรนด้านการท่องเที่ยวแม้แต่คนเดียว ปลัดกระทรวงรุ่นแรกๆ จึงต้องอิมพอร์ต เอาคุณจเด็จ อินสว่าง มาจากมหาดไทย คุณศักดิ์ทิพย์ ไกรฤกษ์ อดีตทูตไทยที่วอชิงตัน หลังจากนั้นจึงเป็น ดร.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ มาเป็นปลัดในช่วงขิงแก่ แปลว่าตั้งกระทรวงมายังไม่ทันได้พิสูจน์ความสำเร็จอะไร ทหารยึดอำนาจไปแล้วปี 2549
ผมมาเป็นสมัยคุณสมัครเป็นนายกฯ กระทรวงเพิ่งมี 4 ปีครึ่ง ฉะนั้นไม่ใช่เวลาที่ผมจะผ่าตัดอะไรทั้งสิ้น ว่าแล้วกีฬาสีก็มาแล้ว กวักก่อนอย่าให้นักท่องเที่ยวมันฟุบล้มลงไป
ฉะนั้นมี 2 เรื่องที่ผมมาที่นี่ 1.เป้าหมายของการท่องเที่ยวคือ การลดความเหลื่อมล้ำ เพราะนั่นคือสาเหตุที่เราทะเลาะกันทางการเมืองมา 10 กว่าปี และมันก็กลายเป็นตัวเลขในโลกไปแล้ว ประเทศไทยเป็น 1 ใน 3-4 ประเทศ ที่มีความเหลื่อมล้ำสูงที่สุดในโลก คนรวยที่สุดกับจนที่สุดอยู่ห่างกันเหลือกัน รวยสุด 20% ครองสินทรัพย์ครึ่งหนึ่งของประเทศ ส่วนอีก 20% สุดท้ายแบ่งเบียดพื้นที่แค่ 4% ของประเทศ ก็ต้องรบกันแน่นอน ผมจึงมองว่านอกจากท่องเที่ยวเพื่อความยั่งยืน ต้องเอาการท่องเที่ยวมาเป็นตัวตั้งเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ
แต่ถ้าเราทำให้เป็นการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน แม้จะได้ไม่เท่ากัน แต่ก็จะมีที่ “ไม่คิดว่าเธอจะได้แต่เธอก็ได้” แม่ค้าขายถั่วต้มอยู่หน้ามาบุญครองก็ขายได้ เพราะคนซื้อมาถึงหน้าแม่ค้า ถ้าเราคิดแบบนี้จะเห็นว่าแม้นตัวเล็กที่สุดมีฝีมือน้อยที่สุดก็อุตส่าห์ขายได้ ท่องเที่ยวควรจะเป็นเครื่องมือใหม่ของชาติในการลดความเหลื่อมล้ำ
“…ถ้าเราทำให้เป็นการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน
แม้จะได้ไม่เท่ากัน แต่ก็จะมีที่
‘ไม่คิดว่าเธอจะได้แต่เธอก็ได้’
ท่องเที่ยวควรจะเป็นเครื่องมือใหม่ของชาติ
ในการลดความเหลื่อมล้ำ…”
ไม่มีเลย แต่ที่ขายได้เพราะยิ้มแย้มกับยืดหยุ่นของคนไทยนี่ไง กับความสวยนี่ไง ยังไม่ขายความงามเลยนะ ในช่วงสงครามเวียดนาม สหรัฐบอมบ์เวียดนาม มีรายงานข่าวจากเวียดนามทุกวัน เอพี เอเอฟพี รอยเตอร์ บีบีซี This is BBC reported from Bangkok Thailand ไม่ต้องทำอีเวนต์เลย (หัวเราะ) คนทั้งโลกเขาก็รอเฝ้าดูลูกหลานที่ไปรบที่เวียดนามว่าเป็นอย่างไร
คนทั้งโลกจำแบงค็อก ไทยแลนด์ได้ โดยที่เราไม่ต้องจัดอีเวนต์เลย พอพ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 มาแป๊บเดียว มีทีวี เกิดวัฒนธรรมการนั่งดูทีวีด้วยกัน มันจึงเกิดบทสนทนาเรื่องแบงค็อก ไทยแลนด์ อุตลุดไปหมดโดยที่เราไม่รู้เรื่องเลยว่าเขาพูดเรื่องเรามาอีก 20 ปีฟรีๆ เพราะเราเป็นพื้นที่ปลอดภัยในการรายงานข่าวเกี่ยวกับสงครามเวียดนาม ดังนั้น เห็นไหมครับว่า unplanned แต่มาได้เป็นที่ 3 ของโลก
ต่อจากนี้คือ Let’s planted อะไรคือแพลนที่ว่า เราก็เห็นแล้วใช่ไหมว่าปริมาณเป็นปัญหา เป็นรอยยิ้มชั่วคราว แต่จะเป็นเรื่องทุกข์ใจไปนาน ขยะพลาสติกลงทะเลในประเทศไทยเป็นอันดับ 4-5 ของโลกแล้ว โทษนักเที่ยวเดี่ยวๆ ไม่ได้หรอก แต่ก็มีส่วนมาจากนักท่องเที่ยวไม่น้อย เพราะรวมแล้วเป็นครึ่งหนึ่งของประชากรไทย เพราะฉะนั้นจะบอกว่าทั้งหมดมาจากประชากรไทยคนเดียวคงไม่ใช่ เรามารับผิดชอบกันเถอะ
ในขณะเดียวกัน เราเองไม่ได้โตมาเดี่ยวๆ แล้ว ต่อไปนี้เราอยู่ในอาเซียน เราไปช่วยกันกับอาเซียน เพราะทุกวันนี้จะขายแต่ภาพสวยของประเทศไทยเฉยๆ นั้น มันก็มีที่อื่นในโลกสวยเช่นกัน ไปเอาที่สวยของแถวๆ นี้มาช่วยถ่ายภาพส่งออกไปให้เขาดู เพราะยังไงก็ไม่บินตรงไปที่นั่นหรอก ก็บินผ่านเข้ามาไทย เพราะเป็นฮับที่ใหญ่ที่สุดโดยสภาพไปแล้ว
ควรจะเป็นอย่างนั้น แต่มันไม่ได้ถูกเทรนนิ่งมาอย่างนี้ เพราะ 15 ปีที่ผ่านมา มัวแต่วุ่นวายกับการโตในทางราชการ หมดเวลาไปกับเรื่องพวกนี้เยอะมาก ผมจึงมองว่า นี่แหละ ถ้านี่คือสิ่งที่เราคิดว่าประเทศไทยจะรุ่งเรืองต่อไปแบบนี้ เรามาทำให้กระทรวงมีความสามารถในฟังก์ชั่นเรื่องแบบนี้ต่อไปดีไหม อย่าปล่อยให้ประชาชน โตไปตามยถากรรมเลย
ไม่มีแหล่งท่องเที่ยวใดที่ขึ้นกับกระทรวงการท่องเที่ยวฯเลย หาดทั้งหมดในประเทศไทยขึ้นกับ อบต. ตลาดร้อยปีขึ้นกับเทศบาล ภูเขาทั้งหมดขึ้นกับกรมป่าไม้ กับกรมอุทยานแห่งชาติ แม่น้ำทั้งหมดขึ้นกับกรมเจ้าท่า จะลงเรือก็กรมเจ้าท่า ลงทะเลก็กรมอุทยานทางทะเล กรมทรัพยากรชายฝั่ง ไม่มีอะไรเหลือถึงที่กระทรวงสั่งได้สักเรื่องหนึ่ง
ถามว่าคนแน่นเกาะ ผมปิดเกาะเองได้ไหมล่ะ ไม่ได้ เมื่อไม่ได้ก็ต้องไปทำการศึกษาแล้วว่า ในโลกนี้นอกจากการห้ามคนขึ้นเกาะแล้วยังมีวิธีใดบ้าง เช่น ถ้าเกาะนี้รับได้ 400 คนต่อวัน ต้องคิดโครงสร้าง 400 คนแรกราคาเท่านี้ 401-450 คน อัตราต้องสูงขึ้นอีกเท่าตัวไหม แล้วถ้าคนที่ 451-500 ต้องแพงขึ้นอีก 3 เท่าตัว ดูสิว่าจะกล้ามาอีกไหม มันมีวิธีคิด แต่เราไม่สามารถสั่งได้ แต่มันต้องไปเพิ่มวิธีคิด เพราะที่ผ่านมายังไม่ได้คิดอะไรเลย รู้แต่ว่าไม่ชอบใจก็บ่นๆ แต่ไม่มีใครคิดจะทำอะไร
ผมจึงมาเพื่อถอดภารกิจบางอย่างของกระทรวงออก กรมการท่องเที่ยว ถ้าใครไม่ไปอ่านกฎกระทรวงคงไม่รู้ กรมนี้มีคนเอาไว้ดูแล พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทั้งประเทศไทยกว่า 4,300 แหล่ง ให้คนมา 130 คน และให้นั่งแต่ในกรุงเทพฯ ผมมาผ่าตัดตรงนี้
2.คือให้ไปพัฒนาบริการการท่องเที่ยว ภัตตาคาร โรงแรม ยังมีดาว แล้วรถนำเที่ยว ไกด์ มีดาวได้ไหม มีได้ หน้าที่ที่ 3 ดึงดูดกองถ่ายภาพยนตร์เข้ามาจากต่างประเทศ ปีหนึ่งมา 700 กองถ่าย ผมจะเอาอันนี้ไปคุยกับท่านวีระ โรจน์พจนรัตน์ รมว.วัฒนธรรม ท่านมีคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ยังไม่มีกองภาพยนตร์เลย เอากองภาพยนตร์ไหม ยกภารกิจกองนี้ไปไว้ที่ท่าน
พัฒนาบุคลากรด้านการท่องเที่ยวก็ยังให้ 130 คนนี้พัฒนาอีก เอามาเถอะ เดี๋ยวให้มหาวิทยาลัยช่วยทำ ให้สถาบันการศึกษาช่วยกันทำ เอามาทำกับสำนักงานปลัดกระทรวงก็ได้ เรายังมีหน้าที่นายทะเบียนบริษัทนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ ใน 130 คน มี 80 คนที่ทำหน้าที่ตรวจเอกสาร ตกลงว่าหน้าที่ที่ประชาชนคาดหวังก็ไม่ได้ทำ สภาทนายความมี พ.ร.บ.สภาทนายความ ให้เขาไปจัดการ คนของผมจะได้ไม่ต้องมาทำงานเรื่องนี้
บริษัทนำเที่ยว เราจะคุมทุกอย่างเลยเพียงเพราะเรามีประเภททัวร์เถื่อน ทิ้งลูกค้า เปลี่ยนเป็นระบบประกันไหม ไปจดทะเบียนที่กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป็นนิติบุคคล ใส่ระบบดาวเข้าไป ซื้อประกันสูงเท่าไหร่ได้ดาวเท่านั้น แปลว่าการันตีว่าคุ้มครองผู้บริโภคของคุณ ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วคน 130 คนจะได้วางของหนักๆ ลงบ้าง ผมกำลังไปหาส่วนราชการที่ถูกยุบ แต่ข้าราชการยังลอยล่อง สมัครมาทำงานที่กระทรวงกับผม ย้ายมาทั้งหนี้สินและทรัพย์สินแล้วมากองๆ รวมกัน ได้มากเท่าไหร่ยิ่งดี จะได้มาช่วยผมคิดว่าจะประสานยังไงให้เกิดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
เมื่อ 1 ปีที่แล้วผมยังนึกไม่ออกว่าผมจะไปอยู่ตรงไหน เพราะฉะนั้นปีหน้าผมยังนึกไม่ออกว่าผมจะไปอยู่ตรงไหน แต่ว่าเมื่อมันจบภารกิจผมก็จะหันมาถามตัวเองว่า ใน 1 ปีที่ผ่านมาผมได้ทำทุกอย่างที่ดีที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ทุกวันหรือไม่ ถ้าใช่แล้วผมจะไปอยู่ที่ไหนไม่สำคัญแล้ว เพราะว่าผมก็จะมีความสุข
คิดมาตั้งแต่เด็กแล้ว เดี๋ยวนี้ก็ยังคิดอยู่ แต่ตอนนั้นมันออกจะแก่เกินไปหน่อยแล้วนะ (หัวเราะ)
ที่มา รมว.ท่องเที่ยวสมัย 3 วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ เลิกกวัก-เน้นยั่งยืน (ชมคลิป) (matichon.co.th)
---------------------------------------------