ยินดีต้อนรับเข้าสู่เว็บไซต์ วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ www.weerasak.org
ร่วมงานสงกรานต์ สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ

25 เมษายน 2568 ร่วมงานสงกรานต์ในโอกาส สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ ในโอกาสสมาคมมีอายุครบ25ปี ที่อิมแพค เมืองทองธานี





แนวทางการรับมือภาษีทรัมป์

“ไทยเจอกำแพงภาษีจากสหรัฐฯ 36%” ประเด็นพาดหัวข่าวที่กำลังเป็นที่ร้อนแรงในเวลานี้สำหรับประเทศไทย ไม่ต่างจากภัยพิบัติแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เพียงไม่นาน ทำเอารัฐบาลไทยระส่ำระส่ายไปตามกัน เพราะมีปัญหาต่อแถวเข้ามาให้แก้ไม่หวาดไม่ไหว ทางด้านฝั่งนักวิชาการ นักวิเคราะห์ และสำนักข่าวมากมายก็ออกมาพูดถึงประเด็นนี้อย่างพร้อมเพรียงกัน
และจากเหตุการณ์นี้เอง ทำให้ประชาชนทั่วไปได้รับรู้ถึงข้อเท็จจริงทางการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ในหลากหลายประเด็นมากขึ้น หนึ่งในนั้นก็คือสินค้าส่งออก 5 อันดับแรกของไทยไปยังสหรัฐฯ ไม่ใช่สินค้าเกษตร หรือสินค้าที่เราเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง แต่มันกลับเป็นสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์และอุปกณ์อิเล็กทรอนิกส์ ยางรถยนต์ เซมิคอนดักเตอร์ และหม้อแปลงฟ้า ที่มีประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเท่านั้น และรายได้จากการส่งออกนี้ได้กินสัดส่วน 15-18% ของภาคการส่งออกทั้งหมดของไทยทีเดียว ซึ่งประเด็นนี้เอง น่าสนใจตรงที่ในเมื่อเราเป็นฐานการผลิตและส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์แล้ว เราก็ควรมีเทคโนโลยีที่จัดการขยะประเภทนี้ด้วยเลยดีไหม?
คุณวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ประธานสภาลมหายใจกรุงเทพฯ หรืออดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ในรายการ The Leader Insight ทาง YouTube Channel เมื่อวันที่ 6 เมษายนที่ผ่านมา ถึงแนวทางการรับมือภาษีทรัมป์ นี้ว่า ประเทศไทยควรใช้วิกฤตนี้ เป็นโอกาสในการเดินหน้าแก้ปัญหาทางสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กับรักษาเสถียรภาพทางการค้าควบคู่ไปด้วยกัน
“ไทยไม่ควรเอามิติทางการเมืองไปแลกกับสหรัฐ อย่าแก้ปัญหาด้วยการซื้ออาวุธ เพราะยิ่งซื้อก็ยิ่งพึ่งพา ของพวกนี้มันต้องซ่อมทำนุบำรุง เราต้องเอาเรื่องที่ยังไงก็ต้องเสียตังอยู่แล้วอย่างสิ่งแวดล้อม เข้าไปต่อรองกับสหรัฐฯ ผ่านการพึ่งพาเทคโนโลยี และองค์ความรู้ของเขา เพราะสหรัฐฯ มีเทคโนโลยีและนวัตกรรมการรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่พัฒนาไปไกลกว่าหลายประเทศแล้ว”
“แนวโน้มขยะอิเล็กทรอนิกส์ปัจจุบันมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามความต้องการของตลาด ตอนนี้อายุแบตเตอรี่โซลาร์เซลรุ่นแรกๆ ก็ทยอยหมดอายุกันแล้ว หากเราซื้อเทคโนโลยีนี้ เราก็สามารถเป็นศูนย์กลางในอาเซียนที่สามารถจัดการขยะเหล่านี้ได้ เพราะยังไงมันก็เป็นราคาที่ต้องยอมจ่าย ไม่มีใครอยากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปนเปื้อนมลพิษหรอก”
นอกจากนี้คุณวีระศักดิ์ ก็ได้เสนอแนวทางอื่นๆ เพิ่มเติมอีก เช่น เทคโนโลยีการจัดการบำบัดน้ำ, เทคโนโลยีซีเมนต์ zero carbon, เทคโนโลยีการทำฟาร์ม และการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เนื่องจากสหรัฐฯ ไม่มีการเผา ทั้งหมดนี้นอกจากจะช่วยให้การค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ยั่งยืนแล้ว ก็ยังเป็นการนำประเทศให้เข้าใกล้กับเป้าหมายด้านความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net zero emissions) ด้วยเช่นกัน
แต่ทั้งหมดนี้ ก็เป็นเพียงข้อเสนอเท่านั้น จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่อย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลไทยจะให้เรื่องไหนเป็นสำคัญ
ที่มา :
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดประชุมคณะกรรมการอำนวยการประจำสำนักฯ ครั้งที่ 1/2568

สำนักบริการวิชาการ (UNISERV) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ประชุมคณะกรรมการอำนวยการประจำสำนักฯ ครั้งที่ 1/2568
วันพฤหัสบดี ที่ 3 เมษายน 2568 สำนักบริการวิชาการ (UNISERV) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดประชุมคณะกรรมการอำนวยการประจำสำนักฯ ครั้งที่ 1/2568 โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.นพ.พงษ์รักษ์ ศรีบัณฑิตมงคล อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มอบนโยบายการดำเนินงานของคณะกรรมการอำนวยการ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปิติพงษ์ ยอดมงคล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นประธานกรรมการอำนวยการ และคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ดังนี้ คุณวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ (อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา) คุณจรัญ คำเงิน (อดีตรองผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย) คุณนพพร พิชา (ประธานกรรมการตรวจสอบ บ.โออิชิ จำกัด(มหาชน) ดร.กอบกิจ อิสรชีววัฒน์ (ประธานหอการค้าเชียงใหม่) และคุณฐิติวัฒน์ ว่องวรรณกุล (กรรมการและผู้จัดการ มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง(ภาฯ)ยามยาก สภากาชาดไทย
ทั้งนี้ รองศาสตราจารย์ ดร.เศรษฐ์ สัมภัตตะกุล ผู้อำนวยการสำนักฯ นำคณะผู้บริหารฯ รายงานผลการดำเนินงานต่อคณะกรรมการอำนวยการฯและรับฟังข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ
ณ ห้องประชุมฝ้ายคำ ชั้น 1 สำนักบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

บรรยายเปิดเวที เรื่อง" เมืองท่องเที่ยวกับคุณภาพอากาศ" ในงาน Thailand Sustainable Tourism Conference
29 มีนาคม 2568 ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต นายวีระศีกดิ์ โควสุรัตน์ ประธานสภาลมหายใจกรุงเทพฯ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นวิทยากร ขึ้นบรรยายเปิดเวที เรื่อง" เมืองท่องเที่ยวกับคุณภาพอากาศ" ในงาน Thailand Sustainable Tourism Conference การสัมมนาด้านการท่องเที่ยวยั่งยืนที่ครอบคลุมทุกมิติ พร้อมพบผู้ให้บริหารการจัดการการท่องเที่ยวอย่งยั่งยืน จัดโดยมูลนิธิการท่องเที่ยวยั่งยืน ร่วมกับจังหวัดภูเก็ต ททท. สำนักงานสสปน. อพท. บริษัทภูเก็ตพัฒนาเมือง และเครือข่ายต่างๆ
โดยนายวีระศักดิ์ชี้ให้เห็นกระบวนการวิเคราะห์แหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศ ทิศทางลมในแต่ละฤดูกาล การรับมือ การวิเคราะห์ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ การวางแผนจัดการคุณภาพอากาศล่วงหน้า ความแตกต่างของไฟป่าในภาคใต้กับภาคเหนือภาคตะวันตก การใช้ดาวเทียมตรวจจับจุดความร้อนการเผาในที่โล่งในมาเลเซีย อินโดนีเซีย ทิศทางความเปลี่ยนแปลงลมในใต้เส้นศูนย์สูตร ป่าพรุ และนิเวศสวนปาลม์ เป็นต้น
ทั้งนี้นายวีระศักดิ์มีข้อแนะนำเรื่องการลดการใช้รถยนต์ดีเซลในเมืองท่องเที่ยวในฤดูท่องเที่ยวของแต่ละเมือง การประกาศของภาคผู้ประกอบการบริการท่องเที่ยวที่จะไม่รับซื้อสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนเกี่ยวกับการเผา เป็นการสร้างวัฒนธรรมเมืองท่องเที่ยวที่ใส่ใจด้านความยั่งยืนที่ยกระดับขึ้นไปได้เรื่อยๆ การจัดการขยะ การจัดการน้ำดิบ น้ำทิ้ง และเนื่องจากเหตุแผ่นดินไหวในเมียนมาร์ที่กระทบถึงไทยครั้งนี้ เมืองท่องเที่ยวก็ต้องนำเรื่องภัยนี้มารวมบริหารความเสี่ยงเพื่อลดผลกระทบได้เลย
เช่นถ้ากิดในช่วงนักเรียนเปิดเทอม ต้องมีแผนรับมือที่ต่างจากช่วงปิดเทอมอย่างไร หากเกิดในเวลากลางคืนจะส่งผลกระทบมากกว่ากลางวัน การจัดพื้นที่และระบบสำรองสำหรับผู้คนพลเมืองและนักท่องเที่ยว ตลอดทั้งการจัดระบบสื่อสารที่เข้าถึงง่าย เข้าใจง่าย ปฏิบัติตามง่าย และทันต่อสถานการณ์เสมอ โดยต้องมีแผนซ้อมรับมือสม่ำเสมอทั้งทางบกทางน้ำทางอากาศ



ประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง "Clean Air For Blue Sky Asia"

วันนี้ผมได้รับเชิญในนาม ประธานสภาลมหายใจกรุงเทพฯ ไปขึ้นเวทีในนามผู้แทนไทยเรื่อง "ฝุ่นและมลพิษทางอากาศ" ร่วมกับ คณะผู้แทนลาว คณะผู้แทนกัมพูชา คณะผู้แทนเวียดนาม คณะผู้แทนอินโดนีเซีย และคณะผู้แทนมองโกเลีย ที่ศาลาว่าการ กทม.2 ดินแดง
เพื่อประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง "Clean Air For Blue Sky Asia" จัดโดย องค์การสหประชาชาติเพื่อการพัฒนา UNDP ร่วมกับกระทรวงสิ่งแวดล้อม เกาหลีใต้ และ มหาวิทยาลัย อินชอน Inchoen University จากประเทศเกาหลีใต้ เพื่อหาทางยกระดับความรู้และความร่วมมือในการจัดการคุณภาพอากาศ ข้ามพรมแดน
โดยผมจะได้นำเสนอแนวทางการสร้างสภาลมหายใจภาคประชาสังคม ในเมืองต่างๆของประเทศต่างๆ เช่น สร้างสภาลมหายใจกัมพูชา สภาลมหายใจลาว และสภาลมหายใจลุ่มน้ำโขง เพื่อช่วยให้มีจุดรวมตัวของความรอบรู้ ให้ภาคประชาชนในแต่ละพื้นที่ ทำงานเชิงวิชาการ เข้าใจวิทยาศาสตร์สุขภาพ เข้าถึงข้อมูลดาวเทียม การใช้แอพลิเคชั่นอ่านทิศทางลม การสื่อสารภาษาถิ่น การเปรียบเทียบเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์และกฏหมาย เพื่อใช้สนับสนุนให้รัฐบาลผู้มีอำนาจในแต่ละพื้นที่ สามารถพัฒนามาตรการในการกำกับกลุ่มทุน ทั้งในภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม ภาคพลังงาน ภาคขนส่ง ให้อยู่ภายใต้การกำกับติดตามร่วมกับภาคประชาชนและท้องถิ่นให้ใกล้ชิดขึ้นกว่าที่เป็นมา
ปีนี้เป็นปีแรกที่จำนวนจุดความร้อนในการเผาในที่โล่งและในป่าของลาวเพิ่มจำนวนแซงเมียนมาร์ และไม่น่าจะเป็นความประสงค์ของประชาชนลาวหรือรัฐบาลลาวที่ต้องการเช่นนั้น
และปีนี้ก็เป็นอีกปีหนึ่งที่มีการเผาป่าในกัมพูชามากจนผิดแปลกไปจากเดิม ซึ่งก็ไม่น่าจะเป็นความต้องการของประชาชนหรือรัฐบาลในกัมพูชาเช่นเดียวกัน
แต่จากพิกัดที่พบทางดาวเทียม ไม่อาจชี้ชัดลงไปได้จากภายนอก ว่าที่ดินแปลงนั้นๆอยู่ในการจัดการของบุคคล กิจการหรือหน่วยงานใด
ดังนั้น การมีสภาลมหายใจภาคประชาสังคมในพื้นที่ใกล้เคียงที่สามารถร่วมมือกันทำงานกับท้องถิ่นท้องที่ของบริเวณเหล่านั้นผ่านเครื่องมือทางเทคโนโลยีเท่านั้น จึงจะสามารถบอกได้ว่าพิกัดทางดาวเทียมที่มีการเผาไหม้ลุกลามอย่างไม่รับผิดชอบหรือเป็นแหล่งอุตสาหกรรมปล่อยมลพิษทางอากาศในพิกัดนั้นๆ เป็นกิจการอะไร ชื่ออะไร ผลิตสินค้าอะไร ฝ่ายไหนเกี่ยวข้อง เพื่อใช้ส่งเป็นข้อมูลให้กันและกันในการช่วยกันตามหาผู้รับผิดชอบทางกฏหมายและรับผิดชอบทางการตลาดได้ต่อไป
ทั้งนี้เพราะปอดทุกคู่ของคนทุกคนในอนุภูมิภาคนี้..ต่างก็ล้วนใช้ลมหายใจเดียวกัน



