ยินดีต้อนรับเข้าสู่เว็บไซต์ วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ www.weerasak.org

"...สิ่งที่ยังสามารถพัฒนาต่อในไทย จึงอยู่ที่เรื่องนโยบายที่ตรงประเด็น การวางโครงสร้างที่สามารถก้าวข้ามความซับซ้อนของระเบียบที่ต่างหน่วยต่างทำ ความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับธุรกิจท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัยที่ทั้ง ภาคราชการ องค์กรที่กำกับพื้นที่ ผู้สร้างระเบียบกติกา จะพึงมี..."
..................................
ปฏิบัติการกู้ภัยช่วย 13 ชีวิตเยาวชนหมูป่าอะคาเดมี่ ที่เกิดขึ้นเพียงสองปีก่อนโควิดระบาด ได้ทำให้ความน่าสัมผัสของถ้ำเจิดจ้าขึ้นอย่างสำคัญ คนไทยเองก็ตื่นตัวอยากรู้จักถ้ำมากขึ้น การท่องเที่ยวป่าเขา และถ้ำจึงได้รับการสนใจทั้งจากตลาดภายใน และจากภายนอกประเทศอย่างไม่ต้องเสียค่าโฆษณา แม้สมมุติโควิดผ่านไปแล้ว ก็จะยังมีคนเมืองจำนวนมากที่ยังไม่สะดวกใจไปเที่ยวนอกประเทศ แต่อยากออกจากเมืองไปเปลี่ยนบรรยากาศ ป่าเขา และเทือกถ้ำไทย อาจจะได้ผู้มาเยือนหน้าใหม่แยะกว่าเดิม ดีที่การได้พักฟื้นของธรรมชาติในช่วงล็อกดาวน์ของโลก ทำให้กลไกธรรมชาติพอได้พัก ไม่ต้องผจญกับการบุกไปเหยีบย่ำของมนุษย์เท่าเดิม
กรณีตัวอย่างคือหาดทรายหลายแห่งมีปูมีเต่ากลับมาปรากฎตัวมากขึ้น เพราะหลายปัจจัย เมื่อหาดทรายไม่ถูกนักท่องเที่ยวจำนวนมากๆรบกวนทุกวันจนเกินความสามารถในการรองรับ ทรายบนหาดที่เคยถูกย่ำบดอัดก็เริ่มคลายตัวปรับฟื้นตนเองขึ้นมาใหม่ สัตว์เล็กๆที่อาศัยหากินหาอยู่ใต้พื้นทรายจึงทยอยปรากฏขึ้นมา
ถ้ำเองก็เช่นกัน ไขมันจากนิ้วมือที่จับต้องผิวผนังถ้ำ ลมหายใจและไออุ่นจากตัวคนที่เข้าถ้ำจำนวนมากเกินไปก็สามารถเปลี่ยนระบบนิเวศน์ในถ้ำได้ การใช้ไฟส่องสว่างที่ไม่ถูกต้องกระทบความชื้นที่เคยลงตัวในบางโถงได้ นี่ยังไม่นับถึงความสึกกร่อนในจุดเปราะบาง หรือที่ร้ายกว่าคือการขีดเขียน จารึก บนต้นไม้บนหินที่ทำลายความบริสุทธิ์ของเส้นทางเรียนรู้ธรรมชาติ
ตลอดจนการใดๆที่ไม่เคารพต่อความเชื่อของชาวท้องถิ่น
โอกาสและความท้าทายเหล่านี้จะกลับมาเริ่มวนใหม่ ถ้าเราไม่เตรียมทั้งนโยบาย และการเรียนรู้ชุดใหม่ที่จะต้องใช้ในไม่ช้า
ช่วงการระบาดของโควิด19จึงทอดเวลาให้เราสามารถทำการบ้านได้รอบคอบ และครอบคลุมมากขึ้น
นอกจากไทยจะมีถ้ำอยู่เป็นจำนวนมากกว่าที่คนไทยตระหนัก ด้วยตัวเลขหลักหลายๆพันๆแห่ง กระจายอยู่ในทุกภาคของประเทศ
บางแห่งอยู่ติดถนน4เลน8เลนด้วยซ้ำ แต่ส่วนมากจะอยู่ห่างเส้นทางหลักเข้าไป
ถ้ำบางแห่งอยู่ในเขตป่าบ้าง เขตวัดบ้าง อยู่ในที่ดินสาธารณประโยชน์บ้าง อยู่ในอุทยานบ้าง อยู่ในแหล่งโบราณคดีบ้าง อยู่ในพื้นที่อบต. เทศบาลบ้าง อยู่ในพื้นที่ทหาร อยู่บนเกาะ อยู่ติดหาดทราย หรืออยู่ใต้น้ำที่มีอิทธิพลจากน้ำขึ้นน้ำลงบ้าง อยู่ตามคุ้งแม่น้ำบ้าง บางแห่งถ้ำอยู่บนที่ราบก็มี
การที่ผมและท่านพลเอกสุรศักดิ์ กาญจนรัตน์เห็นร่วมกันในสมัยที่ท่านดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ว่าประเทศไทยน่าจะมีคณะกรรมการนโยบายและบริหารถ้ำแห่งชาติ หลังเหตุการณ์กู้ภัยในถ้ำหลวงจบลงนั้น ก็เพราะเราได้รับทราบทั้งศักยภาพและความท้าทายที่ถ้ำไทยมี
และเพราะมีหน่วยเจ้าของถ้ำอย่างหลากหลายนี่แหละ ที่ทำให้การมีคณะกรรมการระดับชาติที่ครม.ตั้ง จะช่วยให้ทุกหน่วยมาร่วมทำงานกันถนัดขึ้น
ประกอบกับเมื่อได้รับการยืนยันจากทีมกู้ภัยในถ้ำชาวต่างประเทศ และทีมปีนเขาโรยตัวที่เข้าร่วมปฏิบัติการในการลำเลียงเด็กๆออกจากจุดน้ำท่วมอันตรายลึกเข้าไปหลายกิโลเมตรจากปากถ้ำ ว่าพวกเขาเคยเห็นถ้ำมาแล้วในทั่วโลก แต่พวกเขายืนยันว่า ความน่าอัศจรรย์ของถ้ำไทย เมื่อประกอบกับความมีไมตรีในวัฒนธรรมท้องถิ่น ความมีรสชาติของอาหารชาวบ้านและความเอื้อเฟื้อของคนไทย ทำให้พวกเขามั่นใจว่า
เมืองไทยมีดี..จริงๆ
ตลาดนักสำรวจ นักวิจัย นักผจญภัย นักกีฬาปีนเขา นักลงทุนกิจกรรมกลางแจ้ง สถาบันฝึกทักษะกลางแจ้ง ทั้งในไทย หรือในระดับสากลก็น่าจะสนใจประเทศไทยได้ไม่ยาก
เพราะการบริการด้านอาหาร ที่พัก เดินทาง การรักษาพยาบาลที่ไทยมีอยู่นับว่าเป็นสิ่งที่เอื้อเฟื้อให้น่าพิจารณาอยู่แล้ว
แหล่งท่องเที่ยวประเภทถ้ำและกิจกรรมปีนป่ายนั้น อาจมีได้ในที่อื่นทั่วโลกก็จริง แต่ ที่เหล่านั้นมักจะตั้งอยู่โดดเดี่ยว ระบบสนับสนุนเข้าถึงยาก
สิ่งที่ยังสามารถพัฒนาต่อในไทย จึงอยู่ที่เรื่องนโยบายที่ตรงประเด็น การวางโครงสร้างที่สามารถก้าวข้ามความซับซ้อนของระเบียบที่ต่างหน่วยต่างทำความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับธุรกิจท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัยที่ทั้งภาคราชการ องค์กรที่กำกับพื้นที่ ผู้สร้างระเบียบกติกา จะพึงมี
การดูแลค่าธรรมเนียม ค่าเช่า และการประกาศกำหนดขั้นตอน ตลอดถึงการเข้าใจถึงมาตรการสนับสนุนให้กิจกรรมนันทนาการ แนวนี้ ได้รับการก่อตัวขึ้น การเอื้อเฟื้อต่อการนำเข้าอุปกรณ์คุณภาพและมาตรฐานความปลอดภัยที่สูงๆ มาใช้งาน การวางระบบภาษีที่จะช่วยเอื้อเฟื้อต่อท้องถิ่น การสนับสนุนวิสาหกิจชุมชนเพื่อจัดการทรัพยากรร่วมกับภาคส่วนอื่นๆ
จึงเป็นฐานใหม่ที่จะยกระดับการท่องเที่ยวของไทยให้เข้มแข็งมากขึ้น
ฟื้นตัวเศรษฐกิจการท่องเที่ยว และช่วยเพิ่มมูลค่าให้การท่องเที่ยวโดยชุมชน
อย่างไรก็ตาม ถ้ำในไทยแม้มีอยู่มาก แต่เราต้องมองถ้ำว่าเป็นทรัพยากรที่มีอยู่จำกัด และหลายถ้ำก็ยังอยู่ห่างไกลจากการเข้าถึง และยังสำรวจได้ไม่ทั่วถึง
ดังนั้น เราจึงอาจเลือกเฟ้นจัดชั้น และกันแยกกลุ่มถ้ำที่ยังไม่จำเป็นต้องเปิดให้คนเที่ยว ออกคัดเลือกกลุ่มถ้ำที่มีศักยภาพที่เหมาะสม ไม่นำมาซึ่งความขัดแย้งหรือความเสี่ยงที่ยังไม่ได้ป้องกันออกไปก่อน
สำหรับกลุ่มถ้ำที่จะเปิดให้พัฒนาร่วมกันนั้นอาจเริ่มด้วยการเทียบเคียงกติกามาตรฐานที่กรมการท่องเที่ยวเคยกำหนดไว้ไปได้พลางก่อน เพราะการยกระดับมาตรฐานนั้น ยังสามารถเติมมิติต่างๆได้เสมอ
เรายังสามารถจัดชั้นระบุความยากง่ายในการเข้าถึง เพราะบางถ้ำบางผา อยู่ลึกจากถนนหลักเข้าไปไกล เส้นทางในหน้าฝนอาจไม่สะดวก มีบอกความยากง่ายในการเข้าชมเมื่อไปถึง บางถ้ำต้องใช้การเดินขึ้นหรือเดินข้ามเขาเป็นระยะทางเพิ่มพอควร บางถ้ำมีทางเข้าช่องทางหนึ่ง และมีทางออกอีกช่องทางหนึ่ง เพราะวิธีชมต้องไปแบบวันเวย์ ย้อนสวนไม่ได้
บางถ้ำมีทางออกหลายทาง และหลงง่าย
บางถ้ำ มีเหวในถ้ำก็มี มีหน้าผาในถ้ำให้ต้องไต่ขึ้นก็มี
สิ่งเหล่านี้ควรได้รับการบอกแจ้งล่วงหน้าเพื่อเตือนผู้ที่ไปเข้าเยี่ยมชมให้ทราบ เพื่อประเมินข้อจำกัดของตนเอง
ผมเคยพบผู้ที่ร่วมกับคนในครอบครัวเข้าถ้ำ ช่วงแรกๆก็ไม่มีข้อจำกัดอะไร แต่พอไปถึงระยะหนึ่งมีบันไดชันให้ต้องไต่ คุณสุภาพสตรีบอกว่าน่าจะไม่ไหว
ทีนี้ก็อิหลักอิเหลื่อล่ะครับ
คณะสมาชิกจะไปต่อก็ห่วง จะถอยกลับก็มาไกลแล้ว
ในที่สุดก็ต้องถอยกลับเอา
ดังนั้น การให้ข้อมูลสำคัญที่อ่อนไหวจึงสำคัญมาก สำหรับการท่องเที่ยวเชิงผจญภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผจญภัยในกลางธรรมชาติที่อาจควบคุมไม่ได้ทุกอย่างแบบสวนสนุก
การจัดการด้านความปลอดภัยในการเข้าชม เป็นอีกประเด็นที่ต้องใช้ความรู้ ที่ละเอียดอ่อนพอควร
ถ้ำที่ได้รับการสำรวจและเปิดให้เยี่ยมชมได้ควรถูกจัดชั้นแบบละเอียด เช่นถ้าชมแค่โถงหน้าสุด แสงแดดส่องถึง ประเมินความเสี่ยงแล้วต่ำมาก ก็แล้วไป
แต่ถ้าจะเข้าลึกกว่าจุดกำหนด ใครจะเข้าต้องซื้อประกันภัยเพิ่ม และต้องปฏิบัติตามกติกาที่กำหนด มิเช่นนั้นจะมีผลต่อความสมบูรณ์ของเงื่อนไขการเอาประกันถ้าเกิดมีเหตุ
สถานที่หลายแห่งทางธรรมชาติไม่สามารถกู้ภัยกันได้ง่าย ทีมกู้ภัยต้องมีค่าใช้จ่าย อุปกรณ์กู้ภัยส่วนมากราคาแพง ประเทศใดจะทำเรื่องท่องเที่ยวธรรมชาติและผจญภัยนั้น แม้จะสร้างรายได้ได้ดี มีมูลค่าเพิ่มสูง แต่ก็ควรต้องมีระบบประกันภัยเข้ามากำกับด้วย เพื่อให้ทุกอย่างมีมาตรฐาน ที่วางใจได้
ในทางกลับกัน การเตรียมข้อมูลสำหรับผู้บริหารพื้นที่และผู้มาเยี่ยมเยือนให้ตระหนักรู้เกี่ยวกับความเปราะบางของระบบนิเวศของถ้ำที่เปิดให้เข้าชมได้ก็เป็นสิ่งจำเป็น
บางถ้ำควรมีเงื่อนเวลาของปีที่ต้องปิด ไม่ว่าเพราะเหตุด้านความเสี่ยงเรื่องน้ำป่า น้ำใต้ดิน หรือจะเพราะระบบนิเวศน์ต้องได้รับการพักฟื้นสม่ำเสมอ
บางถ้ำอาจพอจะจัดวางแสงสว่าง ชนิดหลอดLED ซึ่งจะไม่ร้อน ไม่ทำลายความชื้นของผนังถ้ำ หรืออาจมีราวจับ มีขั้นเหยียบเพื่อการเข้าถึงอย่างปลอดภัย ที่ไม่ให้กระทบนิเวศน์ของถ้ำมากเกินไปได้
บางถ้ำมีประเด็นเกี่ยวกับความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์เร้นลับของคนท้องถิ่น ก็ต้องสื่อสารขอความเห็นจากภาคีในพื้นที่ แล้วทำระบบแนะนำให้ผู้มาเยือนต้องคำนึงถึงการเคารพต่อพื้นที่เป็นพิเศษ
การสร้างการมีส่วนร่วมโดยชุมชนอย่างเหมาะสม จะทำให้เกิดความยั่งยืนสันติสุขมากกว่าวิธีอื่นๆ
การถ่ายทอดความรู้แก่ชาวบ้าน เยาวชนในท้องถิ่นเพื่อให้สามารถร่วมรับประโยชน์จากการการมีถ้ำอยู่ใกล้แหล่งอาศัยก็ควรมีอย่างต่อเนื่อง
บางพื้นที่ เราสามารถเปลี่ยนพรานผู้เคยล่า กลายมาเป็นล่ามผู้นำทางและเล่าเรื่อง
เราอาจสามารถเปลี่ยนการหาประโยชน์จากการลักลอบเผา มาเป็นผู้หวงแหนความชื้นของพื้นที่เพื่อรักษาทรัพยากรธรรมชาติที่เอื้ออาชีพนำทางเดินป่า หรือเป็นพื้นที่ฝึกทักษะให้เยาวชนเข้าค่าย
สถาบันการศึกษาควรได้รับการสนับสนุนการพัฒนาความรู้เฉพาะทาง เพื่อให้มีฐานะเป็นผู้สนับสนุนทางวิชาการและความรอบรู้ที่จำเป็นในการคุ้มครอง อนุรักษ์ หรือใช้ประโยชน์จากถ้ำในแง่มุมต่างๆอย่างยั่งยืน
แต่ไม่ว่าอย่างไร ถ้ำต้องถูกยกย่องให้เป็นห้องเรียนของเราเสมอและระลึกเสมอ ว่าถ้ำเป็น’’ของสงวน’’ ที่หาได้ยาก
ถ้ำไม่ได้มีไว้เพียงสนองเงินตรา หรือความสนุกเท่านั้น เพราะถ้ำมีบทบาทของเขาเองอยู่ในวงจรธรรมชาติ
เราจึงต้องสงวนทรัพยากรนี้ไว้เพื่อให้เราและคนรุ่นถัดๆไป ใช้เรียนรู้ระบบที่ธรรมชาติจัดสรรมา
เรียนรู้ที่เราจะเข้าใจข้อจำกัดของถ้ำ เรียนรู้ข้อจำกัดของเรากันเอง ในการเข้าไปในดินแดนอัศจรรย์ของเปลือกโลก
จากเหตุการณ์ที่ถ้ำหลวง และอีกหลายๆแห่งในไทยและในโลก เราควรมีสถาบันการเรียนรู้เรื่องการป้องกันความเสี่ยงในการเข้าถ้ำ เรียนรู้การกู้ภัยในถ้ำ
รวมทั้งเรียนรู้เทคนิคในการสื่อ เพื่อให้คน เคารพธรรมชาติและเคารพในความเชื่อของคนในพื้นที่
เรียนรู้วิธีทำการตลาดให้กับถ้ำ และสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องให้น่าสนใจ
เรียนรู้วิธีจัดบริการสนับสนุนจากผู้ประกอบการรายเล็กๆ เป็นระบบที่เป็นธรรม และมีเสน่ห์สำหรับการเข้ามาของนักเดินทาง ไม่ว่าจะมาพักค้าง หรือไม่พักค้าง
แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติหลายแห่งมีการจัดการในตัวแหล่งโดยผู้มีความรู้ แต่รอบทางเข้ายังมีผู้ที่ทำตรงข้าม ซึ่งไม่ส่งเสริมความยั่งยืน
เช่น บริการลานจอดควรอยู่ห่างออกไปเพื่อให้มีเส้นทางเดินชมธรรมชาติก่อนเข้าถึงถ้ำ เพื่อจะได้มีจังหวะให้ปลุกเร้าความเคารพที่พึงมีต่อระบบนิเวศน์
จะปลุกเร้าโดยป้าย จะปลุกเร้าโดยผู้สื่อความหมายประจำถิ่นก็ได้ จัดให้มีเส้นทางแยกสำหรับจักรยาน หรือรถไฟฟ้าเพื่อช่วยพานักท่องเที่ยวสูงอายุ หรือผู้พิการ คนมีครรภ์หรือเด็กเล็กเข้าถึงที่หมายได้แบบไม่ลำบากเกินไป
มีบริการให้เช่าอุปกรณ์เพื่อการเข้าถ้ำที่เหมาะสม ตั้งแต่แสงส่องสว่างส่วนบุคคล หมวกกันกระแทก ถุงมือ รองเท้าที่เหมาะสม ที่รับฝากของ เพื่อจะได้ไม่มีการนำสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในพื้นที่เปราะบางโดยไม่จำเป็น หรือไม่ตั้งใจ แถมยังอาจไปเกาะเกี่ยวปุ่มหินหรือราวจับในระหว่างเดินชมด้วย
การจัดระเบียบการตั้งร้านจำหน่ายของที่ระลึก สินค้าท้องถิ่น จุดบริการล่ามและผู้นำทาง ป้ายบอกทาง ป้ายแสดงราคามาตรฐาน มีระบบออนไลน์ การจอง การจ่าย ที่ใช้ง่าย เป็นต้น
มนุษย์ยังรู้จักเปลือกโลกได้อีกมาก และเรายังอาจใช้ประโยชน์หรือทำประโยชน์ให้กับระบบนิเวศน์ได้อีกมากเช่นกัน
ขอเพียงเราสามารถบอกกันและกัน ผ่านประสบการณ์ของการท่องเที่ยวที่มีถ้ำเข้ามาเพิ่มเป็นองค์ประกอบเสริมเพื่อกระตุ้นให้เรา
เคารพธรรมชาติ ระบบนิเวศน์และเคารพกันและกันให้มากเพียงพอ
วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา
รองประธานกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ของวุฒิสภา
ที่มา วีระศักดิ์ โควสุรัตน์: ท่องเที่ยวเชิงผจญ กิจกรรมคนรุ่นใหม่ (จบ) (isranews.org)
---------------------------------------------



"...เรื่องการท่องเที่ยวของโลกในยุคหลังโควิด19นั้น เป็นที่รู้กันว่า ยังไงก็จะกลับคืนมา ในเชิงปริมาณ แต่พฤติกรรมจะเปลี่ยนไป นักท่องเที่ยวจะวางแผนการออกเดินทางอย่างระแวงระวังมากขึ้น ส่วนใหญ่จะเลี่ยงการท่องเที่ยวในแหล่งที่แออัดด้วยผู้คน จำนวนหนึ่งจะต้องการสัมผัสธรรมชาติ สัมผัสความสดชื่นของอากาศ บ้างอยากสัมผัสความท้าทาย แต่ต้องการความปลอดภัยที่วางใจได้..."
.........................
บทความตอนที่แล้วผมเล่าเรื่องสโลเวเนียกับความจริงจังในการเข้าใจเรื่องถ้ำ กับการท่องเที่ยวไปแล้ว
ทีนี้มาดูเกาหลีใต้ครับ เกาหลีใต้มีงานศึกษาที่ชี้ว่าตลาดนักท่องเที่ยวถ้ำ มีการเติบโตที่น่าสนใจ โดยเป็นกิจกรรมสาขาหนึ่งของการท่องเที่ยวแนวอนุรักษ์ธรรมชาติ จำนวนคนมากน้อยอาจไม่ใช่ประเด็น เพราะคนกลุ่มนี้ยอมจ่าย ยอมใช้เวลา และยอมบุกฝ่าอุปสรรคสารพันเพื่อไปสัมผัสบรรยากาศการเที่ยวถ้ำ เกาหลีใต้เลยสงสัยใคร่รู้เหมือนกันว่าคนแบบไหนกันนะ ที่หันมาชื่นชอบกิจกรรมแบบนี้
งานศึกษาของกระทรวงการต้อนรับและการท่องเที่ยว (Ministry of Hospitality and Tourism)ของเกาหลีเมื่อ ปี2008 เปิดผลการสอบถามผู้ที่ไปปีนป่ายมุดอยู่ที่ถ้ำชื่อ Hwansun Cave ในเกาหลี ว่า กลุ่มผู้มาที่ถ้ำแบ่งได้เป็นสี่ประเภท
พวกแรก คือ ผู้หนีความจำเจ เกาหลีเรียกกลุ่มนี้ว่าเป็น escape-seeking group ดังนั้นพวกเขาเพียงแต่หนีของเดิมๆที่คนกำลังนิยมเท่านั้น คือเบื่อของคุ้นเคย
พวกที่สอง คือ อยากแสวงความรู้ เกาหลีเรียกกลุ่มนี้ว่า knowledge seeking group
พวกที่สาม คือ เน้นหาความแปลกใหม่ แต่อาจไม่ถึงขนาดสนใจจะเอาเป็นความรู้ เกาหลีเรียกกลุ่มนี้ว่า novelty seeking group กลุ่มนี้รวมถึงผู้รักความตื่นเต้นลึกลับท้าทายด้วย บ้างมาถ้ำเพราะชอบที่ ’’ความมืดอันจริงแท้‘’ บ้างมาเพราะชอบที่ ’’เงียบสงัด’’ อย่างที่หาข้างนอกไม่ได้
พวกที่สี่ คือ พวกที่มาเข้าถ้ำเพื่อจะได้มีกิจกรรมกลุ่ม มาร่วมประสบการณ์กันเป็นหมู่เป็นคณะ เกาหลีเรียกกลุ่มนี้ว่า Socialization group ถ้ำเป็นเครื่องมือให้เกิดกิจกรรมร่วมเฉย ๆ มีตั้งแต่เด็กประถมมากับครู เด็กโตมากับผู้นำกิจกรรม ครอบครัวมากับไกด์ และบริษัทมากับไลฟ์โค้ช
ในงานศึกษาที่อื่น ๆ ชี้ว่าผู้ที่ไปเที่ยวเชิงธรณีวิทยานั้นยังมีระดับอีกด้วยคือ ระดับที่ไปเอาแค่ความเพลิดเพลิน กับระดับที่ไปมุ่งจะสังเกต ฝึกฝน ศึกษา เปรียบเทียบ คือชอบเข้าไปค้นเอาจริงเอาจัง
อีกชิ้นของงานศึกษาในต่างประเทศ ตั้งข้อสังเกตว่า ป้ายบอกในแหล่งท่องเที่ยวประเภทธรณีวิทยาจะมีพลังมากขึ้นมาก ถ้าภาษาที่ใช้อธิบายในป้ายจะลดความเป็นวิชาการลง แต่ออกไปในทางเปรียบเปรยให้เห็นภาพที่จะขายมุมมองให้ผู้อ่านป้ายต้องทึ่ง แล้วจะนำมาซึ่งความเคารพต่อป้ายถัดๆไป และให้ความเคารพต่อสถานที่นั้น เป็นผลทางจิตวิทยาที่เกิดจากการได้มุมมองที่เกินคาด จากข้อความในป้ายอธิบาย เช่น เขาแมทเทอร์ฮอรน์ในสวิตเซอร์แลนด์ (ที่กลายเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของสวิตเซอ์แลนด์) ติดป้ายที่นักท่องเที่ยวได้อ่านว่า …. "แมทเทอฮอรน์มีสถานะที่เหมือนไส้กลางของแซนวิชที่ขนมปังข้างหนึ่ง คือ แอฟริกา และอีกข้างหนึ่งคือยุโรป" ….
เพราะแม้ภูเขาที่เป็นทรงปิรามิดสูงชันและผิวเรียบน่าทึ่งนี้จะอยู่ไกลจากแผ่นดินทวีปแอฟริกามากตามแผนที่ทางการเมือง แต่ในทางธรณีวิทยา เทือกเขาแอลป์อันเลื่องชื่อ ซึ่งมี ภูเขาแมทเทอฮอรน์ เป็นหนึ่งในยอดเขานั้น แท้จริงแล้วคือผลของแผ่นเปลือกโลกสองชิ้นเคลื่อนมาชนกัน คือแผ่นเปลือกโลกแอฟริกา กับแผ่นเปลือกโลกยุโรปเมื่อนับล้านปีก่อน !!
หินที่เป็นยอดของแมทเทอฮอรน์นั้น นักธรณีบางท่านอธิบายว่าเป็นหินที่มาจากแผ่นเปลือกโลกแอฟริกา
ผลในทางจิตวิทยา คือ คนยุโรปจะรู้สึกโดยไม่รู้ตัวว่าควรให้เกียรติแก่ชาวแอฟริกาที่มาเยือน แมทเทอฮอรน์ และเมื่อชาวแอฟริกามาเที่ยวที่นั่น ก็จะรู้สึกผูกพันกับเทิอกเขานี้อย่างสดชื่นขึ้น
ส่วนชาวทวีปอื่นที่มารับรู้ข้อความ ก็จะทึ่ง ว่าตัวเองได้มาเยือนจุดเชื่อมสำคัญของแผ่นเปลือกโลก ไม่ใช่แค่มาเห็นภูเขาสวยชื่อดังจากหน้ากล่องช้อคโกแลต
เรื่องการท่องเที่ยวของโลกในยุคหลังโควิด 19 นั้น เป็นที่รู้กันว่า ยังไงก็จะกลับคืนมา ในเชิงปริมาณ แต่พฤติกรรมจะเปลี่ยนไป นักท่องเที่ยวจะวางแผนการออกเดินทางอย่างระแวงระวังมากขึ้น ส่วนใหญ่จะเลี่ยงการท่องเที่ยวในแหล่งที่แออัดด้วยผู้คน จำนวนหนึ่งจะต้องการสัมผัสธรรมชาติ สัมผัสความสดชื่นของอากาศ บ้างอยากสัมผัสความท้าทาย แต่ต้องการความปลอดภัยที่วางใจได้ อยากเคลื่อนไหวในลักษณะที่ไม่เคยบ้าง ตั้งแต่เดินป่า ปีนเขา เข้าถ้ำ หรือดำน้ำ กิจกรรมกลางแจ้งจะเป็นที่หมายปองในทุกเพศวัย และจากหลากกลุ่มเป้าประสงค์ การเดินทางแบบกรุ้ปใหญ่มากๆจะถูกซอยแบ่งให้เล็กลง กลุ่มเดินทางจะเน้นสมาชิกเฉพาะกลุ่ม ใช้พาหนะเล็กลงเพื่อลดความเสี่ยงที่ต้องปะปนกับคนที่ไม่แน่ใจว่าจะป้องกันตัวเองมาดีพอ วิธีเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะจะถูกตั้งเงื่อนไขมากขึ้น คนจะสนใจใช้ระบบไร้สัมผัส สนใจสุขอนามัย สนใจระบบที่ไม่ต้องจับเงินสด ให้น้ำหนักกับระบบจองคิวล่วงหน้า อยากใช้เวลานานขึ้นกับแต่ละแหล่งท่องเที่ยว ชะโงกทัวร์แบบมาเพื่อถ่ายรูปทำแต้มน่าจะยิ่งแผ่วลง ๆ ผู้เดินทางไม่อยากหมดเวลาไปกับการรอคอยระหว่างเดินทางอย่างไม่สมเหตุสมผล
ตรงนี้คือโอกาสสำคัญของไทยในการพัฒนาและยกระดับการท่องเที่ยวทีเดียวครับ เราควรจะลดการกระจุก ผลักดันการกระจายตัว สร้างวงจรการเชื่อมต่อให้ได้ประโยชน์แก่ชุมชนท้องถิ่นมากๆ ใช้ความมีอัตลักษณ์ของแต่ละที่มาเป็นจุดดึงดูด จุดจดจำ และเป็นจุดขาย พัฒนาความสะดวก ให้ดีขึ้น แต่ไม่ต้องถึงขนาดยัดเยียดความเจริญรุดหน้า จัดวางกติกาที่ทำให้ต้องเคารพ พอๆกับการให้มุมมองที่ทำให้ต้องอยากค้นหา ใช้ความร่วมมือของเครือข่าย ไม่พึ่งพาแต่การใช้กฏหมายทางอาญาเข้าขู่ ยกเว้นเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยและสุขอนามัย ทำให้นักท่องเที่ยวรู้สึกเคารพ เชื่อมั่น ช่วยรักษาสภาพแวดล้อม ลดปริมาณขยะ ทำป้ายทำสื่อทำห้องน้ำทำที่จอดพาหนะและจุดบริการที่ เข้ากับระบบสากล มีอารยสถาปัตย์ ด้วยวัสดุที่หาได้ง่ายในพื้นที่ ติดตั้งสั่งประกอบโดยคนในพื้นที่ เพื่อให้การดูแลรักษาทั้งง่าย ประหยัดเวลาและสร้างงานให้คนท้องถิ่น

ใช้ดิจิทัลในการจอง การจ่าย การแจกข้อมูล การประมวลและประเมินผล เพื่อนำมาปรับปรุง เสริมลดกิจกรรมได้อย่างยืดหยุ่นเหมาะกับแต่ละสภาพพื้นที่ ห้วงเวลา ฤดูกาลและความสามารถในการรองรับและบริหาร มีอัตราค่าบริการที่โปร่งใส ให้ข้อมูลและส่งมอบได้อย่างมืออาชีพ สามารถสื่อสารได้ข้ามภาษา ข้ามวัฒนธรรม ข้ามกลุ่มอายุได้ดี ป้ายเชิงสัญลักษณ์หรือ pictogram จะสำคัญขึ้นมาก ใช้พื้นที่น้อย แต่มนุษย์เข้าใจง่ายในทุกภาษา ประเทศไทยในสายตาของชาวต่างชาติ นั้น จุดเด่นคือมีแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลาย มีชาวพื้นเมืองที่เป็นมิตรในทุกที่ เมืองไทยมีดี แถมมีความหลากหลาย
ในขณะเดียวกัน ตลาดนักท่องเที่ยวไทยก็โตขึ้นมาก และมีศักยภาพที่พึ่งพาได้ นักท่องเที่ยวกลุ่มรักธรรมชาติ กลุ่มใฝ่รู้ กลุ่มหนีความจำเจ กลุ่มอยากรับสัมผัสใหม่ๆ กลุ่มอยากมีกิจกรรมท้าทาย หรือแค่อยากได้กิจกรรมกลุ่ม ล้วนเป็นนักท่องเที่ยวที่ให้คุณค่า และให้มูลค่าได้ ถ้าเราทำระบบให้มีคุณภาพ ทำให้พวกเขาสามารถทำการบ้านล่วงหน้า ทำให้เขาใช้เวลากับแต่ละกิจกรรมอย่างมีความหมาย ทำให้เขากลับไปด้วยจิตวิญญาณใหม่ ๆ ใส่ใจกับสภาพแวดล้อม ผู้คนแวดล้อม มีความพร้อมและความกล้าที่จะปรับปรุงปรับเปลี่ยน มีความนิ่งทางอารมณ์ มีความมั่นคงทางสมาธิ เปิดศักราชครั้งใหม่ ไม่ว่าจะหลังหรือระหว่างโควิด 19 วงการท่องเที่ยวไทยต้องไม่ไหลกลับไปเผชิญกับ ‘วงจรเดิม ๆ’ ครับ
อ่านตอนจบพรุ่งนี้
วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา
รองประธานกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ของวุฒิสภา
ที่มา วีระศักดิ์ โควสุรัตน์: ปีนเขา เข้าถ้ำ ท่องเที่ยวมูลค่าเพิ่มชั้นดี (ตอนที่2) (isranews.org)
---------------------------------------------

นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา อดีตกรรมการพัฒนากฏหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฏีกา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ออกมาเขียนบทความหัวข้อเรื่อง “กฏหมายของประเทศไทย” ไว้น่าสนใจดังต่อไปนี้
1. วางอำนาจไว้ที่อธิบดี จนทำให้เมื่อจำนวนอธิบดีมีกว่า 150 คน จึงเกิดอาณาจักรน้อยๆ ที่มี พรบ.ของแต่ละอธิบดีเป็นเสมือนรั้ว การบูรณาการกันจึงทำโดยธรรมชาติไม่ค่อยได้
2. จึงทำให้ต่อมามีการสร้าง กม. และระเบียบให้เกิดคณะกรรมการจำนวนมากก็เพื่อให้บรรดาอธิบดีมาเจอหน้ากัน ร่วมรับผิดชอบแก้ปัญหาเดียวกัน แพล่บเดียวเท่านั้น ปรากฏว่าเกิดคณะกรรมการจำนวนมากจนอธิบดีตัวจริงก็ไปเองไม่ไหว..ได้แต่มอบลูกน้องไป ส่วนประธานการประชุมที่จะทำเรื่องคร่อมอำนาจหลายกระทรวงก็มักต้องอาศัยรองนรม.หรือหลายอย่างก็ระดับ นรม. ซึ่งก็มีสารพัดภารกิจเมื่อบวกกับภารกิจประธานคณะกรรมการเข้าไปเฉลี่ยท่านละ 30 ชุดก็จะบริหารเวลาแทบไม่ไหว ฝ่ายเลขาการประชุมชุดต่างๆจึงทำได้เพียงนัดและบริการการประชุมไม่ได้มีเวลาทำยุทธศาสตร์การมุ่งสู่เป้าหมาย เป็นเหมือนเอาข้อความมาผสมๆ คนให้รวมๆ กันไป..ประสิทธิภาพย่อมน้อย
3. กฏหมายหลายฉบับเก่าล้าสมัย..จะแก้ไขก็ขาดผู้ชำนาญการในการแก้ไขหรือยกร่าง..นักกม.ในหน่วยราชการปัจจุบันกลายเป็นนิติกรวินัยราชการจนทำงานด้านเขียนกฏหมายและระเบียบไม่ถนัด
4. กฏระเบียบที่เขียนส่วนใหญ่จึงเน้นการทำให้กรมทำงานสะดวกขึ้น แต่เป็นภาระและจำกัดสิทธิเพิ่มหน้าที่ให้เอกชนและประชาชนมากขึ้น
5. มีการกำหนดโทษการฝ่าฝืนที่มากหรือน้อยเกินความเหมาะสมหรือจำเป็นจนบางครั้งไม่ได้สัดส่วน เบาไปบ้าง..หนักไปบ้าง..หรือมีทางเลือกในการแก้ไขบังคับน้อยไปบ้าง
6. ขาดกฏหมายกลางของปประเทศมานาน..ส่วนมากมีแต่กฏหมายของกรมระบบจึงลักลั่นไม่ราบรื่น ไม่ได้แบบแผนที่จะทำให้มีความเป็นอัตโนมัติ ใบอนุญาตแต่ละใบจึงต่างฝ่ายต่างออก..ต่างฝ่ายต่างกำหนดเงื่อนไขเงื่อนเวลา
7.ผู้มีเครื่องมือทางกฏหมาย 99% ก็คือรัฐ รัฐใช้ข้าราชการเป็นคนเขียนร่าง และบังคับใช้ จึงยากที่จะฝากให้ข้าราชการอยากคิดแก้ระเบียบเพื่อลดอำนาจของตัวเองลง..เพราะย่อมทำให้งานของตัวทำยากขึ้น ครั้นจะจ้างให้นักวิชาการสถาบันการศึกษามายกร่างให้..นอกจากจะประสบการณ์บริหารราชการแผ่นดินมีน้อยแล้วยังมีผู้สนใจทุ่มเททำหน้าที่คิดยกร่างภาษากฏหมายแบบอ่านเข้าใจง่ายๆ ก็มีจำนวนน้อยด้วย การพิจารณาปรับปรุงกฏหมายระเบียบ..จึงทำได้ยาก
8. กระบวนการผลิตและแก้ไขกฏหมายขึ้นกับปฏิทินการเมืองด้วย..มีหลายขั้นตอน..และผลก็คือกินเวลานานจนคนทุกฝ่ายล้มหายย้ายงานกันไประหว่างทางเป็นจำนวนมาก ยิ่งภาคประชาชนและเอกชนที่ไม่มีเงินเดือนประจำมาทำงานด้านผลักดันกฏหมายก็ยิ่งยากที่จะมีสายป่านยาวพอจะกัดติดหรือตามติดไหว
9. การกิโยตินกฏหมายในอดีตคือการถามความสมัครใจของกรมให้ไปคิดว่าอยากขจัดกม.ที่ล้าสมัยฉบับใดออกไปบ้าง ซึ่งแม้ขยันทำเต็มที่ก็จะทำได้เพียงสองสามฉบับในสิบปี ต่อมามีคณะกรรมการและคณะทำงานควานหากฏหมายมายกเลิก..ก็อาจทำได้คราวละ 30-40 ฉบับ ด้วยพระราชบัญญัติยกเลิกกฏหมายที่ไม่เหมาะแก่กาลสมัย แต่ย่อมไม่พอที่จะลดปริมาณกฏ
ระเบียบที่ออกใหม่ได้เร็วกว่า ไทยมีกฏสารพัดรวมแล้วราวหนึ่งแสนฉบับ คงอีกนานนับชั่วชีวิตจึงจะเอามาทำความเข้าใจและผูกเข้าเชื่อมกันได้เป็นระบบ ส่วนกิโยตินแบบเกาหลีช่วงหลังวิกฤตต้มยำกุ้งใช้ความกล้าหาญระดับประธานาธิบดี..ใช้วิธีกลับหลักการที่เคยๆทำมา จากฆ่าทีละฉบับไปเป็นฆ่าทิ้งทุกฉบับ..แล้วค่อยมาพิจารณาว่าจะชุบชีวิตมาตราใดของฉบับไหนบ้าง ในชั่วเวลาไม่นานปรากฏว่าประเทศเดินต่อและพัฒนาไปได้โดยชุบชีวิตกฏหมายกลับมาเกือบไม่ถึงครึ่ง!!
10. ที่ผมอธิบายมานี้ไม่ใช่ความคิดหรือข้อค้นพบใหม่…แต่ถูกบันทึกไว้โดยคณะกรรมการพัฒนากฏหมาย และคณะกรรมการกฤฏีกามาในสามสี่ปีนี้ นี่เป็นอาการและสาเหตุทั่วไปที่ถูกสังเกตไว้ เป็นงานที่ผมคิดว่าท้าทายและน่าขยับมาก..แต่ก็ซับซ้อนพันไปถึงสารพัดเรื่องในระบบนิติบัญญัติและระบบราชการไทยมากๆครับ สถานะของสมาชิกวุฒิสภาจึงดูจะมีความนิ่งมากกว่าองคาพยพอื่นๆที่มีเทอมไม่แน่นอน…ไม่มีโยกย้ายหรือเกษียณอายุ..และรัฐธรรมนูญก็ระบุแล้วว่าใครมาเป็นสมาชิกวุฒิสภารอบนี้ ย่อมต้องห้ามมิให้กลับมาเป็นวุฒิสมาชิกไปตลอดชั่วชีวิต และจะย้อนกลับไปเป็นสส.หรือรัฐมนตรีอะไรก็ไม่ได้อีกจนกว่าจะพ้นจากความเป็นสว.ไปแล้วเต็มสองปี การช่วยกันวางแผนลดจำนวนกฏหมาย ซ่อมปรับปรุงกฏหมายให้ทัน4.0 และการมุ่งปฏิรูประบบของรัฐจึงเป็นภารกิจที่สว.ชุดนี้จะช่วยได้อย่างมีนัยสำคัญมากครับ
วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา
รองประธานกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ของวุฒิสภา
ที่มา ตีพิมพ์ในมติชน
---------------------------------------------
"...ในทางการศึกษา ถ้ำเป็นเสมือนไทม์แมชชีนที่พาให้นักวิจัยเข้าถึงข้อมูลสารพัน ที่หาไม่ได้ในพื้นที่ทั่วไป ในด้านอุทกวิทยา ถ้ำเป็นทางเดินของน้ำ เป็นที่สะสมน้ำ เป็นที่อาศัยของสิ่งมีชีวิตบางกลุ่ม และในการเข้าสำรวจถ้ำ ก็มักต้องใช้ความท้าทายคล้ายจะเป็นเกมส์กีฬาสารพัดรูปแบบที่หาไม่ได้ในสถานที่ประเภทอื่น..."
....................................
อีกไม่นานเกินรอ ไทยก็จะเข้าสู่โหมตเริ่มเปิดประตูประเทศทีละบาน ถ้าเหตุการณ์ไม่เกินควบคุม บานอื่นๆก็จะเปิดขึ้นไปเรื่อยๆ
การกลับมาของการท่องเที่ยวคราวนี้ ประเทศไทยได้เรียนรู้ว่าเราไม่พึงเน้นที่ปริมาณนักท่องเที่ยวแล้ว แต่ควรสร้างกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวจะสามารถพักอยู่ได้ยาวขึ้น จ่ายเงินกระจายไปให้ถึงมือคนท้องถิ่นมากขึ้น ไปพักค้างในเมืองรองกระจายขึ้น ใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างระวังขึ้น มีสตอรี่ใหม่ๆที่ให้โลกรู้จักมากขึ้น และมีบริการสนับสนุนที่มีมาตรฐานในทุกมิติมากขึ้น
ช่วงนี้ภาพยนตร์ที่เข้ามาถ่ายทำเกี่ยวกับปฏิบัติการกู้ภัยในถ้ำหลวง ช่วยเหลือ 13 ชีวิตเยาวชนทีมฟุตบอลหมูป่าอะคาเดมี ถ่ายทำจนปิดกล้องไปแล้วอย่างน้อยอีก สามเรื่อง
หนังระดับโลกทั้งนั้น ทำโดยเงินทุนมหาศาล มีทั้งหนังสารคดีระดับตำนานของค่าย เนชั่นแนลจีโอกราฟฟิก ซึ่งสังกัด เครือดีสนีย์ (Disney) มีทั้งหนังมินิซีรีย์ ที่สร้างโดยค่าย เน็ตฟลิ้ก (Netflix) มีทั้งหนังใหญ่ ที่สร้างโดย ค่ายทเอ็มจีเอ็ม สตูดิโอ (MGM Studio)
ส่งฉายทั่วโลกทั้งนั้น และคงดึงดูดชาวโลกให้สนใจถ้ำหลวง สนใจคนไทย น้ำใจไทย และความร่วมมือที่ไทยทำกิจกรรมดีๆกับสากลหลายๆอย่างแน่
หนัง Lost in Thailand เมื่อราว8 ปีก่อน ที่ชาวโลกไม่คุ้น แต่กลับเป็นยอดฮิตในเมืองจีน ส่งผลให้นักท่องเที่ยวจีนขอมาสัมผัสเชียงใหม่ สัมผัสทะเลไทย สัมผัสตลาดบ้านๆของไทยทวีเป็นหลายเท่าตัว
นั่นขนาดไม่ใช่หนังค่ายยักษ์ใหญ่ของจีนนะครับ
คราวนี้หนังช่วยกู้ภัยทีมหมูป่าไปกระจายโดยค่ายยักษ์ระดับโลก
เราคงต้องรีบทำความรู้จักเรื่องการเที่ยวถ้ำให้เป็นกันด่วนจี๋
ผมจึงขอเขียนอธิบายไว้เป็นบันทึก ยาว 3 ตอนดังนี้ครับ
ถ้ำ เป็นสถานที่ๆผูกพันกับมนุษย์มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ เคยถูกใช้เป็นที่อาศัย ที่หลบภัย ที่ตุนเสบียงอาหาร
ในยามสงคราม ถ้ำถูกใช้เก็บของมีค่า เก็บยุทธปัจจัย ถ้ำถูกใช้เป็นที่จาริกแสวงบุญในศาสนาต่างๆทั่วโลก พิธีกรรมสารพันเกิดในหรือหน้าถ้ำ
ในทางการศึกษา ถ้ำเป็นเสมือนไทม์แมชชีนที่พาให้นักวิจัยเข้าถึงข้อมูลสารพัน ที่หาไม่ได้ในพื้นที่ทั่วไป ในด้านอุทกวิทยา ถ้ำเป็นทางเดินของน้ำ เป็นที่สะสมน้ำ เป็นที่อาศัยของสิ่งมีชีวิตบางกลุ่ม และในการเข้าสำรวจถ้ำ ก็มักต้องใช้ความท้าทายคล้ายจะเป็นเกมส์กีฬาสารพัดรูปแบบที่หาไม่ได้ในสถานที่ประเภทอื่น
ถ้ำ จึงดึงดูดมนุษย์เรื่อยมา ไม่ว่าจะมีนโยบายเรื่องท่องเที่ยวถ้ำหรือไม่
เหตุการณ์ถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน ได้เขย่าโลกให้ตื่นตัว ให้อยากรู้จักกับถ้ำอย่างเหลือเชื่อ เพราะเร้าใจ จบสวย และก่อความหวัง สร้างความเชื่อมั่นในเพื่อนร่วมพิภพได้อย่างสมบูรณ์แบบ
แล้วเราจะใช้โอกาสนี้อย่างไร
ผมขอเล่าจากสิ่งที่บังเอิญรับรู้มาครับ
ในมหาวิทยาลัย Nova Gorica ที่ประทศสโลเวเนีย มีหลักสูตรสอนนักศึกษาว่าด้วย วิชาการจัดการการท่องเที่ยวถ้ำ เป็นหลักสูตรเฉพาะ
เป็นหลักสูตรบรรยาย 50ชั่วโมง ภาคสนาม 10ชั่วโมง สัมมนา30ชั่วโมง และผู้เรียนต้องไปทำโครงการด้วยตนเองอีก 90ชั่วโมง
มีสอนทั้งในภาษาอังกฤษและภาษาสโลเวเนี่ยน
การวัดผล มีทั้งการนับชั่วโมงฟังบรรยาย ทำสัมมนา ผลิตข้อเขียน และทำรายงานตามโจทย์ที่แต่ละคนจะได้รับมอบ เป็นหลักสูตรที่สามารถใช้ประกอบในการทำปริญญาโทและปริญญาเอกได้
อ่านจากเป้าประสงค์หลักสูตรของมหาวิทยาลัยนี้ นอกจากผู้เรียนจะต้องเข้าใจหลักการพื้นฐานเกี่ยวกับการท่องเที่ยวถ้ำแล้ว ผู้เรียนต้องจบมาพร้อมความเข้าใจในวิธีนำเที่ยวที่จะไม่ส่งผลร้ายต่อถ้ำ รู้จักปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับระบบของถ้ำ ตระหนักถึงความสำคัญของถ้ำต่าง ๆ ในสโลเวเนีย ตลอดจนรู้จักเครือข่ายสถาบันการเรียนรู้เกี่ยวกับถ้ำที่มีในสากล สามารถจำแนกจุดอ่อนจุดแข็งของการจัดการถ้ำที่เป็นกรณีศึกษาได้ เข้าใจผลกระทบของการท่องเที่ยวที่อาจมีต่อถ้ำและระบบของถ้ำ นอกจากนี้ ผู้จบการศึกษาต้องมีความรู้สำหรับการคุ้มครองฟื้นฟูถ้ำ และต้องเข้าใจถึงวิธีคำนวณจำนวนผู้เข้าถ้ำในปริมาณที่เหมาะสม
นี่ย่อมาเพียงสังเขป
หลักสูตรกำหนดเอกสารการเรียนที่ต้องอ่านไว้อย่างน้อย 12 ชิ้น ระบุผู้แต่ง จำนวนหน้า ปีที่พิมพ์ และชื่อสำนักพิมพ์ให้มาเสร็จสรรพ
ขอดึงมาให้ดูเป็นตัวอย่างนะครับ
1. Encyclopedia of Cave and Karst Science 902หน้า มี Gunn ,J.(บรรณาธิการ) Fitzroy Dearborn New York และ London เล่มนี้พิมพ์ปี 2004
2. Conservation of Cave communities in Australia-Ecosystems of the World,Subteranean Ecosystems ,บทที่33 หน้า 647-664 ,Amsterdam etc. เล่มนี้พิมพ์ปี 2000
3. Development ,Management and Economy of Show caves, เขียนโดย Cigna,Arrigo A.,International Journal of Spelelogy, 27หน้า เผยแพร่เมื่อปี 2001
4. Environmental Management of Tourist Caves. The examples of Grotta di Castellana and Grotta Grand del Vento ,Italy- Environmental Geology หน้า 173-180 เผยแพร่เมื่อปี1993
5.Engineering problems in developing and managing show caves, Journal of Nepal Geological Society ,หน้า 85-94, เผยแพร่เมื่อปี 2000
6. Use of Modern Technologies in the Development of Caves for Tourism ,เอกสารประกอบการจัด 4th International ISCA Congress, Postojna เมื่อ 21-27 October 2002
7. Natural and anthropogenic influences on the year round temperature dynamics of air and water Postjana show caves ,Slovenia, Tourism Management,หน้า 233-243, เผยแพร่เมื่อปี 2014
8. Karstology and Development Challenges on Karst II ,construction,tourism,ecology,protection, เขียนโดย Culver ,D.C.,Debevec B. ,Knez M,Postjana-Ljubljana,ZRC Publishing,ชิ้นนี้ตีพิมพ์ปี2012
9. Human Impact on underground cultural and natural heritage sites ,biological parameters of monitoring and remediation actions for insensitive surfaces:Cases of Slovenian show caves,- Journal for Nature Conservation,doi: เขียนโดย Mulec J เผยแพร่ ปี2014
10. Sustainable use of the Predjama Cave (Slovania) and possible scenarios related to anticipated major increase in tourist numbers, เขียนโดย Selaba S.& Turk J, Tourism Management Perspectives หน้า 37-45 ตีพิมพ์ปี2014
11. Cave tourism, Proceedings of International symposium at 170 anniversary of Postojnska jama, Postojna(Yugoslavia),November 10-12 , มี Kranjc A เป็นบรรณาธิการ เผยแพร่ปี1989
12. Sources Assessment of deposited particles in a Slovanian show cave (Postojnka jama) evidence of long lasting antropogenic impact เขียนโดย Muri G, Jovicic A & Mihevc Aเผยแพร่ปี 2013 ในวารสาร International Journal of Speleology
แปลว่าเขาดึงความรู้ ข้อมูลและประสบการณ์การสังเกตและประเมินผลเรื่องถ้ำมาบันทึก เผยแพร่ และวิเคราะห์กันต่อเนื่อง ผนวกความรู้จากสหสาขามาวิเคราะห์สังเคราะห์ให้เกิดเป็นความรู้และสร้างฐานทักษะ อย่างเอาจริงเอาจัง
นี่ไม่ใช่หลักสูตรปริญญาธรณีวิทยา แต่เป็นหลักสูตรการจัดการการท่องเที่ยวถ้ำ
ดูจากรายการเอกสารบังคับอ่าน มีทั้งที่อยู่ในสิ่งพิมพ์ตั้งแต่ 1989 คือราวสามสิบปีก่อน มาจนถึง2014 ซึ่งแปลว่า การจัดการท่องเที่ยวเกี่ยวกับถ้ำนั้น มีอะไรให้ต้องคิดทบทวนอยู่เนืองๆ
เขาดึงข้อคิดข้อสังเกตจากออสเตรเลีย จากเนปาล เข้ามาประยุกต์เปรีบเทียบกับสิ่งที่เขาประมวลไว้จากประสบการณ์เปิดถ้ำให้ท่องเที่ยวในสโลวาเนีย
วันหนึ่งในไม่ช้า กรณีตัวอย่างของถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอนในไทยก็คงไปอยู่ในหลักสูตรที่ต้องศึกษากันทั่วโลกเช่นกัน
แต่อย่ารอให้ศึกษาเฉพาะการกู้ภัยเลยนะครับ
น่าจะทำให้เป็นกรณีศึกษา เพื่อการพัฒนาให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับโลก และมีการจัดการที่ยั่งยืน ไปเสียด้วยเลย
ทำหลักสูตรในไทยให้เขามาเรียนด้วย
ผู้เรียนหลักสูตรนี้ ควรจะได้เข้าถึงมิติทางธรณีวิทยา ปฐพีวิทยา สิ่งปลูกสร้าง ประเด็นด้านวิศวกรรม การบริหารจัดการ การมองมิติเศรษฐกิจ มิติการพัฒนา มิติทางเทคโนโลยีสำรวจ ซึ่งเราได้ร่วมกับเครือ National Geographic Chanel มาบันทึกโพรงถ้ำด้วยเครื่องตรวจวัดและจำลองภาพ 3 มิติจนเสร็จครบทุกโพรง และประกอบเข้ากันเป็นภาพตัดแบบ cross section ที่สมบูรณ์แบบ ได้สำเร็จ เรียกว่าถ้าต้องหล่อไฟเบอร์เพื่อสร้างถ้ำหลวงจำลอง หรือจะย่อส่วน หรือจะให้เท่าขนาดจริง ทีละท่อนแล้วใส่น้ำพุ่งเข้าไปให้นักกู้ภัยในถ้ำจากทั่วโลกมาเข้าหลักสูตร ทีละส่วนทีละท่อน ก็ทำได้
ผู้เรียนยังควรได้ศึกษาเกี่ยวกับมลพิษจากมนุษย์ที่ส่งผลต่อสภาพแวดล้อมของถ้ำ การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิและความชื้นตลอดถึงปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ของถ้ำ อากาศในถ้ำ น้ำในถ้ำ ทั้งตอนใน ตอนนอก ระบบนิเวศน์ของถ้ำ มรดกทางธรรมชาติ และ วัฒนธรรมแวดล้อม
และความเชื่อของคนแม่สาย เกี่ยวกับถ้ำหลวงฯ
แปลว่า ไม่ใช่เห็นแต่ความสุขสนุกสนาน ความปลอดภัย และความสะดวกของนักท่องเที่ยวเป็นประเด็นเดียว
กลับมาเล่าเรื่องที่สโลเวเนียต่อ
ที่มหาวิทยาลัย Nova Gorica มีหลักสูตรนี้ ก็เพราะ การท่องเที่ยวถ้ำ และการใช้ประโยชน์จากถ้ำในสโลเวเนียนั้น มีทำกันมาเป็นศตวรรษแล้ว สโลเวเนียถือด้วยว่า การท่องเที่ยวถ้ำ เป็นกิจกรรมการท่องเที่ยวที่เก่าแก่ที่สุดในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศด้วย
มหาวิทยาลัยระบุว่านี่เป็นหนึ่งในกิจกรรมตามปรัชญา "การศึกษาตลอดชีวิต" ซึ่งแปลว่าไม่จำกัดอายุผู้เรียน ไม่จำกัดสัญชาติผู้เรียน เพื่อให้เหมาะสำหรับผู้ทำงานด้านท่องเที่ยวจากทั่วโลกที่จะมาเติมความรู้ มุมมอง และทักษะ
แถมหลักสูตรยังตั้งเป้าให้ผู้เรียนรู้จักพฤติกรรม เข้าใจแรงขับดันที่ทำให้นักเดินทางเลือกที่จะทำกิจกรรมเที่ยวถ้ำ
นี่แค่มหาวิทยาลัยเดียวที่ผมหยิบมากล่าวเป็นตัวอย่างเท่านั้น
สโลเวเนียมีประชากรสองล้านคนเศษ อยู่ในยุโรปกลาง มีพรมแดนติดประเทศที่มีชื่อเสียงกว่าตัวเองทางการท่องเที่ยว อย่างอิตาลี ออสเตรีย โครเอเชีย สโลเวเนียมีพื้นที่เพียง สองหมื่นกว่าตารางกิโลเมตร (ในขณะที่ไทยมีพื้นที่กว่าห้าแสนตารางกิโลเมตร) แต่เพราะสโลเวเนียตั้งอยู่บนที่ราบสูง และมีพื้นที่แบบคาสต์ (Karst )ที่เกิดจากที่ราบสูงและภูเขาหินปูนที่ถูกน้ำกัดเซาะมานานจนเป็นบริเวณขนาดใหญ่ จึงมีทางน้ำใต้ดิน แม่น้ำใต้ดินและระบบถ้ำใต้ผิวพื้นมากมาย
เขาจึงสนใจเรื่องถ้ำกันจริงจัง
และลูกค้าท่องเที่ยวที่มาสโลเวเนียก็ไม่ผิดหวัง
แม้สโลเวเนียจะไม่มีตลาดนักท่องเที่ยวขนาดใหญ่ แต่ในปี 2017 วารสาร National Geographic ประกาศว่า สโลเวเนียเป็นประเทศที่ทำการท่องเที่ยวยั่งยืนที่ดีที่สุดของโลก
ลูกค้าท่องเที่ยวของสโลเวเนียมาจากยุโรปและรัสเซียแทบทั้งสิ้น ปีนึงราว4ล้านคน แต่นักท่องเที่ยวที่มาเยือนต้องเคารพความยั่งยืน ตามกติกาและความมุ่งมั่นของสโลเวเนียต่อสิ่งแวดล้อม ความสะอาดและวิถีท้องถิ่น
องค์กรอนุรักษ์ธรรมชาติสีเขียวหรือ Green Destination Organization ของเนเธอร์แลนด์ ประกาศรางวัลความเป็น’’ประเทศสีเขียว’’แห่งแรกของโลกในปี 2016 ให้สโลเวเนีย
เห็นมั้ยครับ
ถ้ำมีอะไรให้น่าค้นหาขนาดไหน
อ่านต่อตอน 2 พรุ่งนี้
วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา
รองประธานกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ของวุฒิสภา
ที่มา วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ :การท่องเที่ยวถ้ำ มุมมองและประสบการณ์สากล(ตอนที่ 1) (isranews.org)
---------------------------------------------







ที่มา https://www.facebook.com/Weerasak-Kowsurat-1408820812765288/
---------------------------------------------