ยินดีต้อนรับเข้าสู่เว็บไซต์ วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ www.weerasak.org
นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา อดีตกรรมการพัฒนากฏหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฏีกา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ออกมาเขียนบทความหัวข้อเรื่อง “กฏหมายของประเทศไทย” ไว้น่าสนใจดังต่อไปนี้
1. วางอำนาจไว้ที่อธิบดี จนทำให้เมื่อจำนวนอธิบดีมีกว่า 150 คน จึงเกิดอาณาจักรน้อยๆ ที่มี พรบ.ของแต่ละอธิบดีเป็นเสมือนรั้ว การบูรณาการกันจึงทำโดยธรรมชาติไม่ค่อยได้
2. จึงทำให้ต่อมามีการสร้าง กม. และระเบียบให้เกิดคณะกรรมการจำนวนมากก็เพื่อให้บรรดาอธิบดีมาเจอหน้ากัน ร่วมรับผิดชอบแก้ปัญหาเดียวกัน แพล่บเดียวเท่านั้น ปรากฏว่าเกิดคณะกรรมการจำนวนมากจนอธิบดีตัวจริงก็ไปเองไม่ไหว..ได้แต่มอบลูกน้องไป ส่วนประธานการประชุมที่จะทำเรื่องคร่อมอำนาจหลายกระทรวงก็มักต้องอาศัยรองนรม.หรือหลายอย่างก็ระดับ นรม. ซึ่งก็มีสารพัดภารกิจเมื่อบวกกับภารกิจประธานคณะกรรมการเข้าไปเฉลี่ยท่านละ 30 ชุดก็จะบริหารเวลาแทบไม่ไหว ฝ่ายเลขาการประชุมชุดต่างๆจึงทำได้เพียงนัดและบริการการประชุมไม่ได้มีเวลาทำยุทธศาสตร์การมุ่งสู่เป้าหมาย เป็นเหมือนเอาข้อความมาผสมๆ คนให้รวมๆ กันไป..ประสิทธิภาพย่อมน้อย
3. กฏหมายหลายฉบับเก่าล้าสมัย..จะแก้ไขก็ขาดผู้ชำนาญการในการแก้ไขหรือยกร่าง..นักกม.ในหน่วยราชการปัจจุบันกลายเป็นนิติกรวินัยราชการจนทำงานด้านเขียนกฏหมายและระเบียบไม่ถนัด
4. กฏระเบียบที่เขียนส่วนใหญ่จึงเน้นการทำให้กรมทำงานสะดวกขึ้น แต่เป็นภาระและจำกัดสิทธิเพิ่มหน้าที่ให้เอกชนและประชาชนมากขึ้น
5. มีการกำหนดโทษการฝ่าฝืนที่มากหรือน้อยเกินความเหมาะสมหรือจำเป็นจนบางครั้งไม่ได้สัดส่วน เบาไปบ้าง..หนักไปบ้าง..หรือมีทางเลือกในการแก้ไขบังคับน้อยไปบ้าง
6. ขาดกฏหมายกลางของปประเทศมานาน..ส่วนมากมีแต่กฏหมายของกรมระบบจึงลักลั่นไม่ราบรื่น ไม่ได้แบบแผนที่จะทำให้มีความเป็นอัตโนมัติ ใบอนุญาตแต่ละใบจึงต่างฝ่ายต่างออก..ต่างฝ่ายต่างกำหนดเงื่อนไขเงื่อนเวลา
7.ผู้มีเครื่องมือทางกฏหมาย 99% ก็คือรัฐ รัฐใช้ข้าราชการเป็นคนเขียนร่าง และบังคับใช้ จึงยากที่จะฝากให้ข้าราชการอยากคิดแก้ระเบียบเพื่อลดอำนาจของตัวเองลง..เพราะย่อมทำให้งานของตัวทำยากขึ้น ครั้นจะจ้างให้นักวิชาการสถาบันการศึกษามายกร่างให้..นอกจากจะประสบการณ์บริหารราชการแผ่นดินมีน้อยแล้วยังมีผู้สนใจทุ่มเททำหน้าที่คิดยกร่างภาษากฏหมายแบบอ่านเข้าใจง่ายๆ ก็มีจำนวนน้อยด้วย การพิจารณาปรับปรุงกฏหมายระเบียบ..จึงทำได้ยาก
8. กระบวนการผลิตและแก้ไขกฏหมายขึ้นกับปฏิทินการเมืองด้วย..มีหลายขั้นตอน..และผลก็คือกินเวลานานจนคนทุกฝ่ายล้มหายย้ายงานกันไประหว่างทางเป็นจำนวนมาก ยิ่งภาคประชาชนและเอกชนที่ไม่มีเงินเดือนประจำมาทำงานด้านผลักดันกฏหมายก็ยิ่งยากที่จะมีสายป่านยาวพอจะกัดติดหรือตามติดไหว
9. การกิโยตินกฏหมายในอดีตคือการถามความสมัครใจของกรมให้ไปคิดว่าอยากขจัดกม.ที่ล้าสมัยฉบับใดออกไปบ้าง ซึ่งแม้ขยันทำเต็มที่ก็จะทำได้เพียงสองสามฉบับในสิบปี ต่อมามีคณะกรรมการและคณะทำงานควานหากฏหมายมายกเลิก..ก็อาจทำได้คราวละ 30-40 ฉบับ ด้วยพระราชบัญญัติยกเลิกกฏหมายที่ไม่เหมาะแก่กาลสมัย แต่ย่อมไม่พอที่จะลดปริมาณกฏ
ระเบียบที่ออกใหม่ได้เร็วกว่า ไทยมีกฏสารพัดรวมแล้วราวหนึ่งแสนฉบับ คงอีกนานนับชั่วชีวิตจึงจะเอามาทำความเข้าใจและผูกเข้าเชื่อมกันได้เป็นระบบ ส่วนกิโยตินแบบเกาหลีช่วงหลังวิกฤตต้มยำกุ้งใช้ความกล้าหาญระดับประธานาธิบดี..ใช้วิธีกลับหลักการที่เคยๆทำมา จากฆ่าทีละฉบับไปเป็นฆ่าทิ้งทุกฉบับ..แล้วค่อยมาพิจารณาว่าจะชุบชีวิตมาตราใดของฉบับไหนบ้าง ในชั่วเวลาไม่นานปรากฏว่าประเทศเดินต่อและพัฒนาไปได้โดยชุบชีวิตกฏหมายกลับมาเกือบไม่ถึงครึ่ง!!
10. ที่ผมอธิบายมานี้ไม่ใช่ความคิดหรือข้อค้นพบใหม่…แต่ถูกบันทึกไว้โดยคณะกรรมการพัฒนากฏหมาย และคณะกรรมการกฤฏีกามาในสามสี่ปีนี้ นี่เป็นอาการและสาเหตุทั่วไปที่ถูกสังเกตไว้ เป็นงานที่ผมคิดว่าท้าทายและน่าขยับมาก..แต่ก็ซับซ้อนพันไปถึงสารพัดเรื่องในระบบนิติบัญญัติและระบบราชการไทยมากๆครับ สถานะของสมาชิกวุฒิสภาจึงดูจะมีความนิ่งมากกว่าองคาพยพอื่นๆที่มีเทอมไม่แน่นอน…ไม่มีโยกย้ายหรือเกษียณอายุ..และรัฐธรรมนูญก็ระบุแล้วว่าใครมาเป็นสมาชิกวุฒิสภารอบนี้ ย่อมต้องห้ามมิให้กลับมาเป็นวุฒิสมาชิกไปตลอดชั่วชีวิต และจะย้อนกลับไปเป็นสส.หรือรัฐมนตรีอะไรก็ไม่ได้อีกจนกว่าจะพ้นจากความเป็นสว.ไปแล้วเต็มสองปี การช่วยกันวางแผนลดจำนวนกฏหมาย ซ่อมปรับปรุงกฏหมายให้ทัน4.0 และการมุ่งปฏิรูประบบของรัฐจึงเป็นภารกิจที่สว.ชุดนี้จะช่วยได้อย่างมีนัยสำคัญมากครับ
วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา
รองประธานกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ของวุฒิสภา
ที่มา ตีพิมพ์ในมติชน
---------------------------------------------
"...ในทางการศึกษา ถ้ำเป็นเสมือนไทม์แมชชีนที่พาให้นักวิจัยเข้าถึงข้อมูลสารพัน ที่หาไม่ได้ในพื้นที่ทั่วไป ในด้านอุทกวิทยา ถ้ำเป็นทางเดินของน้ำ เป็นที่สะสมน้ำ เป็นที่อาศัยของสิ่งมีชีวิตบางกลุ่ม และในการเข้าสำรวจถ้ำ ก็มักต้องใช้ความท้าทายคล้ายจะเป็นเกมส์กีฬาสารพัดรูปแบบที่หาไม่ได้ในสถานที่ประเภทอื่น..."
....................................
อีกไม่นานเกินรอ ไทยก็จะเข้าสู่โหมตเริ่มเปิดประตูประเทศทีละบาน ถ้าเหตุการณ์ไม่เกินควบคุม บานอื่นๆก็จะเปิดขึ้นไปเรื่อยๆ
การกลับมาของการท่องเที่ยวคราวนี้ ประเทศไทยได้เรียนรู้ว่าเราไม่พึงเน้นที่ปริมาณนักท่องเที่ยวแล้ว แต่ควรสร้างกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวจะสามารถพักอยู่ได้ยาวขึ้น จ่ายเงินกระจายไปให้ถึงมือคนท้องถิ่นมากขึ้น ไปพักค้างในเมืองรองกระจายขึ้น ใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างระวังขึ้น มีสตอรี่ใหม่ๆที่ให้โลกรู้จักมากขึ้น และมีบริการสนับสนุนที่มีมาตรฐานในทุกมิติมากขึ้น
ช่วงนี้ภาพยนตร์ที่เข้ามาถ่ายทำเกี่ยวกับปฏิบัติการกู้ภัยในถ้ำหลวง ช่วยเหลือ 13 ชีวิตเยาวชนทีมฟุตบอลหมูป่าอะคาเดมี ถ่ายทำจนปิดกล้องไปแล้วอย่างน้อยอีก สามเรื่อง
หนังระดับโลกทั้งนั้น ทำโดยเงินทุนมหาศาล มีทั้งหนังสารคดีระดับตำนานของค่าย เนชั่นแนลจีโอกราฟฟิก ซึ่งสังกัด เครือดีสนีย์ (Disney) มีทั้งหนังมินิซีรีย์ ที่สร้างโดยค่าย เน็ตฟลิ้ก (Netflix) มีทั้งหนังใหญ่ ที่สร้างโดย ค่ายทเอ็มจีเอ็ม สตูดิโอ (MGM Studio)
ส่งฉายทั่วโลกทั้งนั้น และคงดึงดูดชาวโลกให้สนใจถ้ำหลวง สนใจคนไทย น้ำใจไทย และความร่วมมือที่ไทยทำกิจกรรมดีๆกับสากลหลายๆอย่างแน่
หนัง Lost in Thailand เมื่อราว8 ปีก่อน ที่ชาวโลกไม่คุ้น แต่กลับเป็นยอดฮิตในเมืองจีน ส่งผลให้นักท่องเที่ยวจีนขอมาสัมผัสเชียงใหม่ สัมผัสทะเลไทย สัมผัสตลาดบ้านๆของไทยทวีเป็นหลายเท่าตัว
นั่นขนาดไม่ใช่หนังค่ายยักษ์ใหญ่ของจีนนะครับ
คราวนี้หนังช่วยกู้ภัยทีมหมูป่าไปกระจายโดยค่ายยักษ์ระดับโลก
เราคงต้องรีบทำความรู้จักเรื่องการเที่ยวถ้ำให้เป็นกันด่วนจี๋
ผมจึงขอเขียนอธิบายไว้เป็นบันทึก ยาว 3 ตอนดังนี้ครับ
ถ้ำ เป็นสถานที่ๆผูกพันกับมนุษย์มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ เคยถูกใช้เป็นที่อาศัย ที่หลบภัย ที่ตุนเสบียงอาหาร
ในยามสงคราม ถ้ำถูกใช้เก็บของมีค่า เก็บยุทธปัจจัย ถ้ำถูกใช้เป็นที่จาริกแสวงบุญในศาสนาต่างๆทั่วโลก พิธีกรรมสารพันเกิดในหรือหน้าถ้ำ
ในทางการศึกษา ถ้ำเป็นเสมือนไทม์แมชชีนที่พาให้นักวิจัยเข้าถึงข้อมูลสารพัน ที่หาไม่ได้ในพื้นที่ทั่วไป ในด้านอุทกวิทยา ถ้ำเป็นทางเดินของน้ำ เป็นที่สะสมน้ำ เป็นที่อาศัยของสิ่งมีชีวิตบางกลุ่ม และในการเข้าสำรวจถ้ำ ก็มักต้องใช้ความท้าทายคล้ายจะเป็นเกมส์กีฬาสารพัดรูปแบบที่หาไม่ได้ในสถานที่ประเภทอื่น
ถ้ำ จึงดึงดูดมนุษย์เรื่อยมา ไม่ว่าจะมีนโยบายเรื่องท่องเที่ยวถ้ำหรือไม่
เหตุการณ์ถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน ได้เขย่าโลกให้ตื่นตัว ให้อยากรู้จักกับถ้ำอย่างเหลือเชื่อ เพราะเร้าใจ จบสวย และก่อความหวัง สร้างความเชื่อมั่นในเพื่อนร่วมพิภพได้อย่างสมบูรณ์แบบ
แล้วเราจะใช้โอกาสนี้อย่างไร
ผมขอเล่าจากสิ่งที่บังเอิญรับรู้มาครับ
ในมหาวิทยาลัย Nova Gorica ที่ประทศสโลเวเนีย มีหลักสูตรสอนนักศึกษาว่าด้วย วิชาการจัดการการท่องเที่ยวถ้ำ เป็นหลักสูตรเฉพาะ
เป็นหลักสูตรบรรยาย 50ชั่วโมง ภาคสนาม 10ชั่วโมง สัมมนา30ชั่วโมง และผู้เรียนต้องไปทำโครงการด้วยตนเองอีก 90ชั่วโมง
มีสอนทั้งในภาษาอังกฤษและภาษาสโลเวเนี่ยน
การวัดผล มีทั้งการนับชั่วโมงฟังบรรยาย ทำสัมมนา ผลิตข้อเขียน และทำรายงานตามโจทย์ที่แต่ละคนจะได้รับมอบ เป็นหลักสูตรที่สามารถใช้ประกอบในการทำปริญญาโทและปริญญาเอกได้
อ่านจากเป้าประสงค์หลักสูตรของมหาวิทยาลัยนี้ นอกจากผู้เรียนจะต้องเข้าใจหลักการพื้นฐานเกี่ยวกับการท่องเที่ยวถ้ำแล้ว ผู้เรียนต้องจบมาพร้อมความเข้าใจในวิธีนำเที่ยวที่จะไม่ส่งผลร้ายต่อถ้ำ รู้จักปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับระบบของถ้ำ ตระหนักถึงความสำคัญของถ้ำต่าง ๆ ในสโลเวเนีย ตลอดจนรู้จักเครือข่ายสถาบันการเรียนรู้เกี่ยวกับถ้ำที่มีในสากล สามารถจำแนกจุดอ่อนจุดแข็งของการจัดการถ้ำที่เป็นกรณีศึกษาได้ เข้าใจผลกระทบของการท่องเที่ยวที่อาจมีต่อถ้ำและระบบของถ้ำ นอกจากนี้ ผู้จบการศึกษาต้องมีความรู้สำหรับการคุ้มครองฟื้นฟูถ้ำ และต้องเข้าใจถึงวิธีคำนวณจำนวนผู้เข้าถ้ำในปริมาณที่เหมาะสม
นี่ย่อมาเพียงสังเขป
หลักสูตรกำหนดเอกสารการเรียนที่ต้องอ่านไว้อย่างน้อย 12 ชิ้น ระบุผู้แต่ง จำนวนหน้า ปีที่พิมพ์ และชื่อสำนักพิมพ์ให้มาเสร็จสรรพ
ขอดึงมาให้ดูเป็นตัวอย่างนะครับ
1. Encyclopedia of Cave and Karst Science 902หน้า มี Gunn ,J.(บรรณาธิการ) Fitzroy Dearborn New York และ London เล่มนี้พิมพ์ปี 2004
2. Conservation of Cave communities in Australia-Ecosystems of the World,Subteranean Ecosystems ,บทที่33 หน้า 647-664 ,Amsterdam etc. เล่มนี้พิมพ์ปี 2000
3. Development ,Management and Economy of Show caves, เขียนโดย Cigna,Arrigo A.,International Journal of Spelelogy, 27หน้า เผยแพร่เมื่อปี 2001
4. Environmental Management of Tourist Caves. The examples of Grotta di Castellana and Grotta Grand del Vento ,Italy- Environmental Geology หน้า 173-180 เผยแพร่เมื่อปี1993
5.Engineering problems in developing and managing show caves, Journal of Nepal Geological Society ,หน้า 85-94, เผยแพร่เมื่อปี 2000
6. Use of Modern Technologies in the Development of Caves for Tourism ,เอกสารประกอบการจัด 4th International ISCA Congress, Postojna เมื่อ 21-27 October 2002
7. Natural and anthropogenic influences on the year round temperature dynamics of air and water Postjana show caves ,Slovenia, Tourism Management,หน้า 233-243, เผยแพร่เมื่อปี 2014
8. Karstology and Development Challenges on Karst II ,construction,tourism,ecology,protection, เขียนโดย Culver ,D.C.,Debevec B. ,Knez M,Postjana-Ljubljana,ZRC Publishing,ชิ้นนี้ตีพิมพ์ปี2012
9. Human Impact on underground cultural and natural heritage sites ,biological parameters of monitoring and remediation actions for insensitive surfaces:Cases of Slovenian show caves,- Journal for Nature Conservation,doi: เขียนโดย Mulec J เผยแพร่ ปี2014
10. Sustainable use of the Predjama Cave (Slovania) and possible scenarios related to anticipated major increase in tourist numbers, เขียนโดย Selaba S.& Turk J, Tourism Management Perspectives หน้า 37-45 ตีพิมพ์ปี2014
11. Cave tourism, Proceedings of International symposium at 170 anniversary of Postojnska jama, Postojna(Yugoslavia),November 10-12 , มี Kranjc A เป็นบรรณาธิการ เผยแพร่ปี1989
12. Sources Assessment of deposited particles in a Slovanian show cave (Postojnka jama) evidence of long lasting antropogenic impact เขียนโดย Muri G, Jovicic A & Mihevc Aเผยแพร่ปี 2013 ในวารสาร International Journal of Speleology
แปลว่าเขาดึงความรู้ ข้อมูลและประสบการณ์การสังเกตและประเมินผลเรื่องถ้ำมาบันทึก เผยแพร่ และวิเคราะห์กันต่อเนื่อง ผนวกความรู้จากสหสาขามาวิเคราะห์สังเคราะห์ให้เกิดเป็นความรู้และสร้างฐานทักษะ อย่างเอาจริงเอาจัง
นี่ไม่ใช่หลักสูตรปริญญาธรณีวิทยา แต่เป็นหลักสูตรการจัดการการท่องเที่ยวถ้ำ
ดูจากรายการเอกสารบังคับอ่าน มีทั้งที่อยู่ในสิ่งพิมพ์ตั้งแต่ 1989 คือราวสามสิบปีก่อน มาจนถึง2014 ซึ่งแปลว่า การจัดการท่องเที่ยวเกี่ยวกับถ้ำนั้น มีอะไรให้ต้องคิดทบทวนอยู่เนืองๆ
เขาดึงข้อคิดข้อสังเกตจากออสเตรเลีย จากเนปาล เข้ามาประยุกต์เปรีบเทียบกับสิ่งที่เขาประมวลไว้จากประสบการณ์เปิดถ้ำให้ท่องเที่ยวในสโลวาเนีย
วันหนึ่งในไม่ช้า กรณีตัวอย่างของถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอนในไทยก็คงไปอยู่ในหลักสูตรที่ต้องศึกษากันทั่วโลกเช่นกัน
แต่อย่ารอให้ศึกษาเฉพาะการกู้ภัยเลยนะครับ
น่าจะทำให้เป็นกรณีศึกษา เพื่อการพัฒนาให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับโลก และมีการจัดการที่ยั่งยืน ไปเสียด้วยเลย
ทำหลักสูตรในไทยให้เขามาเรียนด้วย
ผู้เรียนหลักสูตรนี้ ควรจะได้เข้าถึงมิติทางธรณีวิทยา ปฐพีวิทยา สิ่งปลูกสร้าง ประเด็นด้านวิศวกรรม การบริหารจัดการ การมองมิติเศรษฐกิจ มิติการพัฒนา มิติทางเทคโนโลยีสำรวจ ซึ่งเราได้ร่วมกับเครือ National Geographic Chanel มาบันทึกโพรงถ้ำด้วยเครื่องตรวจวัดและจำลองภาพ 3 มิติจนเสร็จครบทุกโพรง และประกอบเข้ากันเป็นภาพตัดแบบ cross section ที่สมบูรณ์แบบ ได้สำเร็จ เรียกว่าถ้าต้องหล่อไฟเบอร์เพื่อสร้างถ้ำหลวงจำลอง หรือจะย่อส่วน หรือจะให้เท่าขนาดจริง ทีละท่อนแล้วใส่น้ำพุ่งเข้าไปให้นักกู้ภัยในถ้ำจากทั่วโลกมาเข้าหลักสูตร ทีละส่วนทีละท่อน ก็ทำได้
ผู้เรียนยังควรได้ศึกษาเกี่ยวกับมลพิษจากมนุษย์ที่ส่งผลต่อสภาพแวดล้อมของถ้ำ การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิและความชื้นตลอดถึงปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ของถ้ำ อากาศในถ้ำ น้ำในถ้ำ ทั้งตอนใน ตอนนอก ระบบนิเวศน์ของถ้ำ มรดกทางธรรมชาติ และ วัฒนธรรมแวดล้อม
และความเชื่อของคนแม่สาย เกี่ยวกับถ้ำหลวงฯ
แปลว่า ไม่ใช่เห็นแต่ความสุขสนุกสนาน ความปลอดภัย และความสะดวกของนักท่องเที่ยวเป็นประเด็นเดียว
กลับมาเล่าเรื่องที่สโลเวเนียต่อ
ที่มหาวิทยาลัย Nova Gorica มีหลักสูตรนี้ ก็เพราะ การท่องเที่ยวถ้ำ และการใช้ประโยชน์จากถ้ำในสโลเวเนียนั้น มีทำกันมาเป็นศตวรรษแล้ว สโลเวเนียถือด้วยว่า การท่องเที่ยวถ้ำ เป็นกิจกรรมการท่องเที่ยวที่เก่าแก่ที่สุดในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศด้วย
มหาวิทยาลัยระบุว่านี่เป็นหนึ่งในกิจกรรมตามปรัชญา "การศึกษาตลอดชีวิต" ซึ่งแปลว่าไม่จำกัดอายุผู้เรียน ไม่จำกัดสัญชาติผู้เรียน เพื่อให้เหมาะสำหรับผู้ทำงานด้านท่องเที่ยวจากทั่วโลกที่จะมาเติมความรู้ มุมมอง และทักษะ
แถมหลักสูตรยังตั้งเป้าให้ผู้เรียนรู้จักพฤติกรรม เข้าใจแรงขับดันที่ทำให้นักเดินทางเลือกที่จะทำกิจกรรมเที่ยวถ้ำ
นี่แค่มหาวิทยาลัยเดียวที่ผมหยิบมากล่าวเป็นตัวอย่างเท่านั้น
สโลเวเนียมีประชากรสองล้านคนเศษ อยู่ในยุโรปกลาง มีพรมแดนติดประเทศที่มีชื่อเสียงกว่าตัวเองทางการท่องเที่ยว อย่างอิตาลี ออสเตรีย โครเอเชีย สโลเวเนียมีพื้นที่เพียง สองหมื่นกว่าตารางกิโลเมตร (ในขณะที่ไทยมีพื้นที่กว่าห้าแสนตารางกิโลเมตร) แต่เพราะสโลเวเนียตั้งอยู่บนที่ราบสูง และมีพื้นที่แบบคาสต์ (Karst )ที่เกิดจากที่ราบสูงและภูเขาหินปูนที่ถูกน้ำกัดเซาะมานานจนเป็นบริเวณขนาดใหญ่ จึงมีทางน้ำใต้ดิน แม่น้ำใต้ดินและระบบถ้ำใต้ผิวพื้นมากมาย
เขาจึงสนใจเรื่องถ้ำกันจริงจัง
และลูกค้าท่องเที่ยวที่มาสโลเวเนียก็ไม่ผิดหวัง
แม้สโลเวเนียจะไม่มีตลาดนักท่องเที่ยวขนาดใหญ่ แต่ในปี 2017 วารสาร National Geographic ประกาศว่า สโลเวเนียเป็นประเทศที่ทำการท่องเที่ยวยั่งยืนที่ดีที่สุดของโลก
ลูกค้าท่องเที่ยวของสโลเวเนียมาจากยุโรปและรัสเซียแทบทั้งสิ้น ปีนึงราว4ล้านคน แต่นักท่องเที่ยวที่มาเยือนต้องเคารพความยั่งยืน ตามกติกาและความมุ่งมั่นของสโลเวเนียต่อสิ่งแวดล้อม ความสะอาดและวิถีท้องถิ่น
องค์กรอนุรักษ์ธรรมชาติสีเขียวหรือ Green Destination Organization ของเนเธอร์แลนด์ ประกาศรางวัลความเป็น’’ประเทศสีเขียว’’แห่งแรกของโลกในปี 2016 ให้สโลเวเนีย
เห็นมั้ยครับ
ถ้ำมีอะไรให้น่าค้นหาขนาดไหน
อ่านต่อตอน 2 พรุ่งนี้
วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา
รองประธานกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ของวุฒิสภา
ที่มา วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ :การท่องเที่ยวถ้ำ มุมมองและประสบการณ์สากล(ตอนที่ 1) (isranews.org)
---------------------------------------------
ที่มา https://www.facebook.com/Weerasak-Kowsurat-1408820812765288/
---------------------------------------------
"...ธุรกิจสตาร์ทอัพใหม่ๆพยายามหาทางอัพไซเคิล รีไซเคิลขยะกลุ่มนี้มาเป็นสินค้าสร้างสรรค์ใหม่ๆ เช่นเอามาทำสินค้าแฟชั่น ตั้งแต่เสื้อผ้า กระเป๋า เป้ รองเท้ากีฬา บ้างก็สามารถเอาไปหลอมแล้วทอกลับเป็นเส้นใยที่เราจำหน้าตาของแหอวนเดิมไม่ได้เลย บ้างก็ยังรักษาบางส่วนให้เห็นเป็นตาข่ายหน้าตาเก๋ๆเพื่อให้รู้ว่าทำมาจากอะไร..."
....................
ประสบการณ์ที่ผมเคยเดินทางไปเก็บขยะในสายน้ำไม่ว่าพื้นที่น้ำจืดหรือน้ำเค็ม ขยะอย่างหนึ่งที่ซ่อนตัวเงียบๆเกลื่อนกลืนกับสถานที่มาตลอด ก็คือเส้นเชือก เส้นเอ็นที่มักจะดูแล้วไม่ได้รกตา ขวางอารมณ์อย่างถุงหรือขวดพลาสติก ลังโฟมเปื่อยๆ หรือเศษซากที่นอนหมอนอิง
แต่ถ้ามีกะใจสาวมันขึ้นมาทีไร เป็นได้เจอ แจ้คพ้อตแตกแทบทุกหนครับ
เพราะสาวไปแล้วจะเจอว่ามันมักจะฝังลึกถูกทับอยู่ใต้ทรายใต้ดินลึก หรือไปกระหวัดรัดเกี่ยวกับอะไรมากกว่ากว่าที่ตาเห็นมาก และถ้าไม่มีเครื่องมือเตรียมมาเพียงพอ ลำพังมือเปล่าๆจะยื้อกับขยะเศษแหอวนและเส้นเอ็นของเบ็ดตกปลาก็จะยากทีเดียว
วัสดุที่ใช้ผลิตเครื่องมือจับสัตว์น้ำทุกประเภท ล้วนทำมาจากวัสดุที่คงทนต่อการกัดกร่อน ไม่กลัวน้ำ ไม่เปื่อยยุ่ยง่าย เหนียว และมักจะคมครับ
อายุของสายเบ็ดเส้นหนึ่งจะอยู่ไปได้อีกราว 600 ปี!! ถ้าเป็นแหไนล่อน อวนไนล่อน จะอยู่ไปได้นานกว่านั้นอีกมาก
แถมยังมีลักษณะเป็นแนวยาว แหหนึ่งปาก อาจรวบตัวเองเข้ามาเหลือเป็นเส้นที่รวบบางกว่าผ้าเช็ดตัว เพราะเส้นใยไนล่อนสีจางๆเหล่านี้บาง เบา เหนียว แต่คมพอที่จะบาดนิ้วคนที่ไปดึงมันได้สบาย สายเบ็ดก็ไม่ค่อยต่างกัน
และด้วยความเป็นแนวยาวของมันราวกับเชือกนี่แหละที่ทำให้ชาวเรือหวาดระแวงที่มันจะไปพันเข้ากับแกนหมุนของเครื่องยนต์เรือ แกนใบพัด หางเสือ ตั้งแต่เรือเดินทะเล เรือป้อกแป้ก เรือหางยาว ไปจนเรือสปีดโบ้ท หรือเจ็ตสกี
เข้าถึงเครื่องเมื่อไหร่เป็นอันจบกัน เพราะมันจะถูกแกนหมุนพาให้พันแกนสะบัดเกี่ยวกับอะไรต่ออะไรจนเครื่องพัง ถ้าโดนเข้าที่หางเสือก็จะยึดจนหางเสือเลี้ยวเรือไปมาไม่ได้อีกต่อไป
ทางเดียวที่จะแก้สิ่งเหล่านี้ออกจากการพัน คือต้องโดดลงน้ำเพื่อดำไปตัดด้วยกรรไกรที่แข็งแรงเพียงพอ
ซึ่งแน่นอนครับ ว่ามักจะอยู่ในจุดที่เข้าถึงยากใต้ท้องเรือเสมอ
แถมในระหว่างที่ต้องหยุดเรือเพื่อดำน้ำลงไปแก้ไขปัญหานี้ ก็ย่อมจะเสี่ยงที่คลื่นลมจะพัดเรือให้ไหลไปอย่างเปะปะ อาจปะทะเข้ากับเรืออื่น ปะทะหินโสโครก ปะทะเสาสะพาน ปะทะตลิ่ง สุดแต่ว่าจะอยู่ใกล้ที่ไหน เว้นแต่เรือใหญ่มีสมอก็อาจพอทำเนา
นี่อันตรายที่หนึ่งของขยะเป็นเส้นเหนียวๆอย่างแหอวนและสายเบ็ด
อันตรายที่สองคือแม้เศษอวน เศษแห เศษสายเบ็ดไม่ไปโดนเรือ แต่หากไหลพัดไปเกี่ยวเข้ากับกิ่งไม้รากไม้ตามป่าโกงกางหรือตามรากไม้ริมคลอง ทีนี้มันจะทำตัวเป็นตัวดักจับขยะให้ติดกับมันเป็นพวงใหญ่ขึ้นเรื่อย น้ำพัดก็ไม่ไปไหน ติดคาขวางทางน้ำเสียอย่างนั้น ใครจะไปเก็บกวาด ถ้าไม่มีอุปกรณ์ดีพอก็มักต้องยอมใจ เพราะยากพอๆกับลิงแก้แห
ประเหมาะเคราะห์ร้ายจะโดนมันพันเกี่ยวเสี่ยงชีวิตเสียอีก
มีเด็กที่ว่ายน้ำเล่นหรือพลัดตกน้ำแล้วถูกสายเบ็ดพันแขนขาเนื้อตัวจนจมน้ำเสียชีวิต มีผู้ใหญ่ที่เป็นคนว่ายน้ำเก่งถูกมันพันมือจนจมน้ำดับก็มี ไม่นับสัตว์เลี้ยงอย่างควายอย่างเป็ดที่ลงน้ำแล้วติดอะไรใต้น้ำจนเจ้าของต้องเสี่ยงชีวิตลงไปช่วยแกะช่วยตัดก็มาก
นี่จึงเป็นอันตรายที่สอง
อันตรายที่สาม คือหากแม้นมันถูกพัดพาออกทะเล แต่ด้วยความทนทานนานปีของมัน มันจะเที่ยวท่องไปตามกระแสคลื่น น้ำขึ้นน้ำลงกวาดเอาสัตว์น้ำ แถมบางทีรวมถึงสัตว์ปีกและเต่าที่มาแตะโดนมันเข้าให้ต้องจมน้ำตายไปเรื่อยๆ ตัวแล้วตัวเล่า อย่างน่าอนาถ
ถ้ามันไปแตะโดนปะการังหรือกัลปังหา มันก็จะเกี่ยวคาอยู่พร้อมกับความสกปรกที่ติดมากับมันจนทำให้ปะการังตายหรืออย่างน้อยก็หักหรือฉีกขาดเสียหาย
ผมเคยไปร่วมดำน้ำจัดการกับขยะกลุ่มแหอวน สายเบ็ดเหล่านี้ในทะเล ต้องบอกครับว่าแกะยากมาก แถมมีเพรียงมาเกาะจนคม คลื่นดันมันไปมาจนมันตรึงแน่นยึดกับแนวปะการัง จนแม้จะตัดโดยใช้ของมีคมก็ยังทำได้ช้าและยากเย็นมาก ๆ
ปัจจุบันกิจกรรมตกปลา จับปลาไม่ได้ทำโดยชาวประมงเท่านั้นแล้ว แต่ได้กลายเป็นกิจกรรมหาวัตถุดิบมาปรุงอาหารของนักตกปลา ของแรงงานหาเช้ากินค่ำ ของคนที่อยากฆ่าเวลาหรือพัฒนาฝีมือเป็นกีฬาชักกะเย่อกับปลาก็มาก
ตามราวสะพานต่างๆ บางทีจะสังเกตได้ ว่ามีให้เห็นหนาตาขึ้นมากทีเดียว
โดยเฉพาะช่วงโควิด มากระทบวงจรชีวิตผู้คน
มือใหม่จึงเข้ามาร่วมใช้เครื่องมือหาปลากันเยอะขึ้น ในขณะที่ลำน้ำมีขยะเพิ่มทั้งที่ผิวน้ำ กลางน้ำ และใต้น้ำเยอะไปหมด
โอกาสที่เครื่องมือจับสัตว์น้ำแนวแห อวน และสายเบ็ดจะเข้าไปติดขัด จะดึงกลับก็ไม่ไหว บางครั้งทางออกง่ายๆที่หน้างานก็คือการตัดทิ้ง หรือแม้กู้ดึงคืนขึ้นมาได้ก็อาจชำรุดจนไม่อยากซ่อม เลยโยนทิ้งลงน้ำไปก็มี
ที่ทิ้งลงไปมีตั้งแต่อวนเล็กๆ แหบางๆ ไปจนถึงระดับอวนอุตสาหกรรมก็มาก ใหญ่จนหนักเกือบตันก็มี
ดังนั้น ด้วยความทนของวัสดุเหล่านี้ มันจึงยังสามารถสร้างความเสียหายไปได้อีกนับหลายร้อยปี
ผู้ตระหนักถึงภัยของมันทั้งในระดับท้องถิ่นและในระดับสากลได้ช่วยกันทำบ้างแล้วก็คือ
รณรงค์ไม่ทิ้งวัสดุและเครื่องมือเหล่านี้ แต่ช่วยกันกวาดเก็บกลับมาทำลายอย่างถูกวิธีเพื่อมิให้มันออกไปอาละวาดทำลายสิ่งอื่นๆไปเรื่อยๆราวฆาตกรต่อเนื่อง
ในทะเลหลวงมีอนุสัญญาระหว่างประเทศที่เอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้
ในทะเลภายในก็มีกรมประมงร่วมกับสมาคมประมงต่างๆจัดกิจกรรมรณรงค์นำขยะทุกอย่างของเรือประมงกลับเข้าสู่ฝั่ง โดยเฉพาะแหอวนต่างๆที่ชำรุด มีการติดเครื่องหมายให้กับเครื่องมือประมง เพื่อให้แน่ใจว่าจะลดการทอดทิ้งลงน้ำได้ดีขึ้น
ในลำน้ำในแผ่นดินก็มีกิจกรรมเก็บขยะตามลำน้ำ ตามคูคลอง อย่างต่อเนื่อง แต่ส่วนมากมักเป็นกิจกรรมขนาดเบา ซึ่งต้องขอบคุณนักพายคายัค คนเล่นเรือเล็ก คนขับเจ้ตสกีที่มีจิตอาสา
ส่วนเทศบาลก็มีเรือที่พยายามนำเจ้าหน้าที่ออกไปตามเก็บเท่าที่จะพอทำกันได้
ธุรกิจสตาร์ทอัพใหม่ๆพยายามหาทางอัพไซเคิล รีไซเคิลขยะกลุ่มนี้มาเป็นสินค้าสร้างสรรค์ใหม่ๆ เช่นเอามาทำสินค้าแฟชั่น ตั้งแต่เสื้อผ้า กระเป๋า เป้ รองเท้ากีฬา บ้างก็สามารถเอาไปหลอมแล้วทอกลับเป็นเส้นใยที่เราจำหน้าตาของแหอวนเดิมไม่ได้เลย บ้างก็ยังรักษาบางส่วนให้เห็นเป็นตาข่ายหน้าตาเก๋ๆเพื่อให้รู้ว่าทำมาจากอะไร
แต่ราคาจากการทำการตลาดสินค้าเหล่านี้สามารถทำให้สินค้ามีมูลค่าเพิ่มได้ มากครับ เพราะสินค้ามีสตอรี่เรื่องรักษ์โลกติดมากับตัวมันเองเรียบร้อย
ในชุมชนไทยมีการนำขยะจากทะเลมาบดตัดอัดแผ่นทำรองเท้าแตะ หรือนำไปประกอบในสินค้าของที่ระลึกจากเมืองชายฝั่ง
ในระดับอุตสาหกรรมมีการนำไปหลอมเป็นวัสดุสำหรับหล่อเป็นเคสโทรศัพท์มือถือเก๋ๆ หรือทำของเล่นเป็นชิ้นบล้อคเล่นแทนการใช้แท่งไม้
แต่ที่ผมเห็นว่าได้ประโยชน์มากๆคือมีการนำแหอวนเก่ามาทำตาข่ายดักขยะผูกไว้ตามปลายทางระบายน้ำ ที่สามารถทำหน้าที่เหมือนถุงขยะที่น้ำไหลผ่านออกไปแต่ทุกสัปดาห์ก็สามารถให้เจ้าหน้าที่มารวบปากอวนนี้รูดเชือกปิดปากถุงแล้วยกออกไปคัดแยกเอาขยะที่ดักไว้ไปใช้ประโยชน์ใหม่
เปลี่ยนจากความอันตราย กลายเป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมเสียเลย
อย่างไรก็ดี ขยะกลุ่มนี้ ยังเก็บกลับคืนมาได้น้อยมากๆครับ
เก็บขยะชายหาดครั้งหน้า ถ้ามีพลังจำกัด เราอาจยอมปล่อยพวก เปลือกแตงโม ซังข้าวโพด เศษกิ่งไม้ ขอนไม้ ไว้ก่อนแล้วหันมาโฟกัสกับเศษเชือกเศษอวน ก้นกรองบุหรี่ โฟม และบรรดาพลาสติกต่างๆกันให้มากๆครับ
วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา
รองประธานกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ของวุฒิสภา
ที่มา วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ : แหและสายเบ็ด ขยะที่แสนอันตราย (isranews.org)
---------------------------------------------
วันที่ 8 ตุลาคม 2564 เวลา 10.00 นาฬิกา รายการตอบโจทย์ (ภาคพิเศษ) ศ.8 ต.ค. 64 : นับถอยหลัง “เลือกตั้ง อบต.” ประชาธิปไตยคืนถิ่น ...?
ผู้ร่วมรายการ วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา และอดีต รมว.กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
รศ.ดร.ศุภวัฒนากร วงศ์ธนวสุ อดีตคณบดีวิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น ม.ขอนแก่น
ผศ.เอกรินทร์ ต่วนศิริ รองคณบดีคณะรัฐศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
ร่วมสนทนาประเด็น
- ความสำคัญของการเลือกตั้ง อบต. หลังห่างหายมานานหลายปี และแนวทางการตัดสินใจเลือกผู้แทนของตนเองภายใต้บริบททางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย
ผู้ดำเนินรายการ สุทธิชัย หยุ่น วราวิทย์ ฉิมมณี
ที่มา https://www.facebook.com/Weerasak-Kowsurat-1408820812765288/
---------------------------------------------