ยินดีต้อนรับเข้าสู่เว็บไซต์ วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ www.weerasak.org
NEWS ROOM "รับมือ ร้อน-แล้ง-ฝุ่น วิกฤตสภาพภูมิอากาศสุดขั้ว"
รายการ NEWS ROOM ห้องข่าวไทยพีบีเอส สัมภาษณ์พิเศษ วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รองประธานกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา โดย ก่อเขต จันทเลิศลักษณ์ ผู้อำนวยการข่าว สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส
Web : https://www.thaipbs.or.th/program/clip/watch/Ihaolk
วีระศักดิ์ ชี้ ราชการควรเร่งออกประกาศวิธีทำความร่วมมือกับเจ้าของที่ดินป่าชายเลน ก่อนถูกโค่นทิ้งหมดเพื่อเลี่ยงภาระภาษีที่ดินฯ
ที่มา: https://www.isranews.org/article/isranews-scoop/127651-isranews-sea.html
“…ในพื้นที่ผมมีพื้นป่าชายเลนที่ท้องถิ่นไปตีความว่าเป็นที่รกร้าง เจ้าของที่เลยไปตัดป่าชายเลนออกแล้วถมดิน ผมมองว่าเรื่องนี้อันตรายต่อการกัดเซาะชายฝั่ง ถ้ายังมีป่าชายเลนอยู่ก็ช่วยป้องกันได้…”
ป่าชายเลนเป็นระบบนิเวศที่มีความสำคัญและมีประโยชน์หลายด้าน ทั้งในด้านเป็นแหล่งเพาะพันธุ์และอนุบาลสัตว์น้ำหลายชนิด เป็นป่าที่ช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ดีกว่าป่าประเภทอื่น ๆ ช่วยป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง และไม้จากป่าชายเลนยังสามารถนำไปสกัดสารเคมีหรือนำมาเผาถ่านเป็นแหล่งพลังงานได้
ข้อมูลจากเว็บไซต์กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งระบุว่า ในปี พ.ศ. 2563 พบว่าประเทศไทยมีพื้นที่ป่าชายเลนคงสภาพทั้งหมดประมาณ 1,737,019.90 ไร่ กระจายอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคใต้ รวม 24 จังหวัด ได้แก่ ตราด จันทบุรี ระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ กรุงเทพมหานคร สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี นราธิวาส ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล
โดยจังหวัดที่มีพื้นที่ป่าชายเลนมากที่สุด คือ จังหวัดพังงา มีพื้นที่ป่าชายเลนคง สภาพจำนวน 288,443.90 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 16.61 ของพื้นที่ป่าชายเลนทั้งหมด
อย่างไรก็ตามแม้ป่าชายเลนจะมีประโยชน์มากมาย แต่ภายหลังที่มีการบังคับใช้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 มาตรา 37 ให้จัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ทำให้ป่าชายเลนหลายแห่งถูกทำลาย เนื่องจากประชาชนในพื้นที่ที่มีที่ดินเป็นป่าชายเลนรับภาระจ่ายเงินภาษีไม่ไหว จึงต้องถางทำลายป่าชายเลนทิ้งแล้วเปลี่ยนไปปลูกพืชผลทางการเกษตรแทนเพื่อจะได้ไม่ต้องเสียภาษีที่ดิน
คำถาม คือ เราจะรักษาป่าชายเลนไว้อย่างไร เมื่อถูกเรียกเก็บภาษีที่ดิน?
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รวบรวมคำตอบจากนักวิชาการ ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากมาตราภาษี และเจ้าหน้าที่รัฐมานำเสนอให้สาธารณชนรับทราบ
นายวิสูตร นวมศิริ
นายวิสูตร นวมศิริ ผู้แทนชุมชนริมคลองบางบ่อ ต.บางแก้ว อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม กล่าวว่า กฎหมายภาษีที่ดินไม่ใช่ไม่ดี เข้าใจว่าเพื่อให้คนที่ซื้อที่แล้วปล่อยทิ้งร้างมาทำประโยชน์กับที่ดิน แต่เพราะเป็นการประกาศใช้ทั่วประเทศจึงครอบคลุมไปถึงป่าชายเลนด้วย เมื่อกฎหมายออกมาก็มีการสั่งการมายังท้องถิ่นทุกที่ ท้องถิ่นจึงปฏิบัติตาม
“หมายความว่าใครมีที่ปล่อยรกร้างไม่ได้ทำประโยชน์ก็ต้องเสียภาษี ทีนี้ในพื้นที่ผมมีพื้นป่าชายเลนที่ท้องถิ่นไปตีความว่าเป็นที่รกร้าง เจ้าของที่เลยไปตัดป่าชายเลนออกแล้วถมดิน ผมมองว่าเรื่องนี้อันตรายต่อการกัดเซาะชายฝั่ง ถ้ายังมีป่าชายเลนอยู่ก็ช่วยป้องกันได้ อีกทั้งพื้นที่ป่าชายเลนยังรักษาระบบนิเวศได้อย่างดี ผมคิดง่าย ๆ แบบคนไม่รู้กฎหมาย คือ อยากให้มีวงเล็บในพ.ร.บ.ภาษีที่ดินโดยระบุว่า ป่าโกงกาง ป่าแสม ป่าจาก ไม่ถือเป็นที่รกร้าง แต่เป็นพื้นที่ป่ารักษาระบบนิเวศ ชาวบ้านก็แค่เสียภาษีตามปกติเขาก็จะไม่ตัดต้นไม้ถางป่าชายเลนแล้ว” นายวิสูตร กล่าว
นายวิสูตร กล่าวว่า นอกจากนี้แล้วการที่ประชาชนในพื้นที่ป่าชายเลนบริเวณตำบลบางแก้วได้ครอบครองที่ดินบริเวณป่าชายเลน เพราะได้รับที่ดินสืบทอดต่อกันมาเป็นทอด ๆ นานหลายสิบปี ตั้งแต่ยังเป็น น.ส.3ก หรือ ส.ค.1 ต่อมาก็มาขอออกเป็นโฉนด อีกทั้งพื้นที่สมุทรสงครามยังมีปัญหาถูกกัดเซาะชายฝั่ง เลยขอเสนอว่าควรนำงบประมาณที่ใช้ในการปักไม้ไผ่ชะลอคลื่นที่มีมูลค่าประมาณสิบล้านกว่าบาท เปลี่ยนไปใช้เวนคืนพื้นที่ป่าสมบูรณ์คืน แล้วให้ชาวบ้านดูแลบำรุงรักษาป่า ก็จะเกิดประโยชน์มากมากมายและยังป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งได้
นางสาวเอม เจริญทองตระกูล
นางสาวเอม เจริญทองตระกูล ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านพัฒนาโครงสร้างระบบภาษี กองนโยบายภาษี สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวว่า ทางราชการที่เกี่ยวข้องกับภาษีที่ดินไม่ได้มีข้อกังขาในประโยชน์ของป่าชายเลนและป่าบก ทั้งนี้ผู้จัดเก็บภาษีของท้องถิ่นไม่ได้มีความประสงค์ร้ายในการทำลายป่า แต่ด้วยข้อกฎหมายของพ.ร.บ.ภาษีที่ดินระบุขอบเขตและเงื่อนไขไว้อย่างคลุมเครือ จึงมีการตีความพื้นป่าว่าเป็นที่รกร้าง เข้าใจว่ามีปัญหาทางข้อกฎหมายต้องแก้ไข แต่ทางออกที่ทำได้ทันทีในการรักษาสภาพป่า คือ เอกชนสามารถทำ MOU ยินยอมให้จัดพื้นป่าไปใช้ประโยชน์กับทางราชการได้โดยไม่มีค่าตอบแทนใด ๆ
"อีกทางออกหนึ่ง คือ มีหน่วยงานที่ให้การรับรองกับเราได้ว่า นี่คือพื้นที่นิเวศป่าชายเลน ถ้าเป็นเช่นนี้จะมีความเป็นไปได้ในการดำเนินการยกเว้นภาษีพื้นที่ป่าชายเลนได้" นางสาวเอม กล่าว
นายชรินทร์ สัจจามั่น
ด้านนายชรินทร์ สัจจามั่น ผู้อำนวยการกลุ่มงานนโยบายการคลังและพัฒนารายได้ สำนักบริหารการคลังท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กล่าวว่า ท้องถิ่นไม่ได้ต้องการรีดภาษีจากชาวบ้าน ทางออกที่ง่ายที่สุดให้นำที่ดินที่เป็นป่าชายเลนไปทำ MOU กับภาครัฐให้รัฐใช้เป็นสาธารณประโยชน์ ตามพ.ร.บ.ภาษีที่ดินมาตรา 8 (8) จะไม่ต้องเสียภาษีที่ดินบริเวณที่เป็นป่าชายเลน วันนี้ความท้าทาย คือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถ้าตระหนักถึงความสำคัญของป่าชายเลน ทุกหน่วยงานต้องทำงานร่วมกัน ทำงานอย่างจริงจังและจริงใจกับประชาชน
ผศ.ดร. ดวงมณี เลาวกุล
ผศ.ดร. ดวงมณี เลาวกุล อาจารย์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กล่าวว่า ประเด็นของป่าไม่ว่าจะเป็นป่าบกหรือป่าชายเลนก็ตาม ในพื้นที่เอกชนจะมีความแตกต่างกับป่าในพื้นที่ของรัฐ คือเอกชนมีกรรมสิทธิ์ของตนเอง จะเปลี่ยนสภาพพื้นที่เมื่อใดก็ได้ เข้าใจว่าภาครัฐจึงไม่สามารถออกมาตรการรับมือได้อย่างรวดเร็ว ทางเลือกหนึ่ง คือ ทำ MOU ก็ให้ท้องถิ่นเป็นคนดูแลโดยตรง เพราะท้องถิ่นจะรู้ว่าพื้นที่ไหนเป็นป่าที่มีประโยชน์ในเชิงนิเวศจริงหรือไม่ ยกตัวอย่าง ที่ดินที่มีคนซื้อไว้แล้วมีต้นไม้ตามธรรมชาติขึ้น แล้วเจ้าของที่ดินก็มาอ้างว่าที่ดินที่ต้นไม้ขึ้น คือ พื้นที่ป่าที่เป็นประโยชน์ต่อเชิงนิเวศ แต่จริง ๆ แล้วคือการสะสมความมั่งคั่งส่วนบุคคล ไม่ได้คิดว่าเป็นประโยชน์เชิงนิเวศ เพียงแต่บังเอิญมีต้นไม้ขึ้นจึงอ้างว่าเป็นป่าเพื่อเลี่ยงการจ่ายภาษี จึงมีช่องว่างและมีนัยหลายอย่างที่ต้องพิจารณาให้รอบคอบ
“ลักษณะของ MOU ท้องถิ่นจะเป็นคนที่พิจารณา แล้วเขาจะรู้ว่าถ้ายกเว้นภาษีในส่วนนี้ไปแล้ว เขามีรายได้เพียงพอที่จะพัฒนาท้องถิ่นหรือไม่ คือเขาต้องพิจารณาให้รอบคอบว่าอันนี้เป็นประโยชน์ต่อสังคม ดังนั้นจึง Trade Off ได้ ว่าไม่เก็บภาษีจากประชาชนแล้วเป็นประโยชน์ต่อประชาชนส่วนรวม” ผศ.ดร. ดวงมณี กล่าว
นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์
นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา คณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า หลังจากที่ตนเองนำคณะกรรมาธิการลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบกรณีประชาชนถางป่าชายเลนเพื่อลดการจ่ายภาษี ก็พบว่าเจ้าของที่ดินไม่เต็มใจจะถางป่า แต่เขาไม่อยากให้เป็นภาระลูกหลานที่ต้องมาจ่ายภาษีที่ดิน คณะกรรมาธิการจึงเรียบเรียงข้อเท็จจริงและปัญหา แล้วเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประชุมร่วมกันเพื่อหาทางออก แต่เวลาผ่านไปเมื่อติดต่อไปยังหน่วยงานเหล่านั้นเพื่อสอบถามความคืบหน้าก็มักจะได้รับคำตอบว่ายังไม่มีความคืบหน้า จนกระทั่งเมื่อวันที่ 27 มี.ค. 2567 ที่มีการจัดเสวนาร่วมกัน แล้วทางหน่วยงานตอบมาว่าให้ใช้แนวทางมาตรา 8 (8) ในพ.ร.บ.ภาษีที่ดิน นั่นถึงเป็นความคืบหน้าล่าสุด
“หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบอกว่าเขายังไม่พร้อมที่จะส่งข้อมูลเพิ่มเติมกลับมา เพราะเขายังไม่ได้ท่าที เราทำเรื่องนี้เพราะกำลังจะช่วยคน เราต้องช่วยเขาด้วยท่าทีและจังหวะ คำว่าจังหวะของผมก็คือ คุณอย่าเงียบ ที่คุณบอกมีวิธีคุณก็ต้องใช้จังหวะในการป่าวประกาศให้คนรู้ พวกคุณต้องมาประกาศ ส่งเสียงให้ประชาชนรู้ จะใช้การประกาศในฝ่ายการเมืองก็ได้ หรือจะเอามาประกาศให้เป็นภาษาที่เข้าใจง่าย หรือให้เทศบาลในพื้นที่ประกาศ เป็นต้น นั่นเรียกว่าจังหวะ ไม่งั้นชาวบ้านเขาตัดไม้ไปก่อนที่คุณไปประกาศ ไม่มีประโยชน์แล้ว เขาตัดไปแล้ว เขาถมที่ไปแล้ว” นายวีระศักดิ์ กล่าว
นายวีระศักดิ์ กล่าวต่อว่า ส่วนท่าทีที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจะมี คือ ทำให้เข้าใจง่าย ไม่เป็นภาษาราชการ เช่น การบอกว่าทำ MOU ประชาชนในพื้นที่บางส่วนอาจจะไม่เข้าใจ หรือประกาศออกมาว่าไม่ประสงค์ให้ประชาชนตัดไม้ถางป่าชายเลนเพื่อเลี่ยงภาษีที่ดินโดยหน่วยงานรัฐกำลังวางมาตรการ เป็นต้น
“แค่เขารู้ว่าคุณกำลังพยายามทำแบบนี้ เขาก็จะชะลอการตัดไม้ถางป่าแล้ว ผมถึงได้บอกว่าผมรอไม่ได้ ผมพูดแถลงในสภาเลยว่า ควรจะพิจารณาทำพระราชกำหนดเลยไหม ส่วนรัฐบาลจะกล้าทำหรือไม่กล้าทำ ก็ไม่เป็นไร แต่ฝ่ายการเมืองตะโกนกันดัง ๆ เรามาหยุดการโค่นป่าชายเลนโดยไม่จำเป็นเพื่อจะเลี่ยงภาษีที่ดินกันเถอะ แม้ว่ารัฐบาลจะไม่ตอบสนองกับเรื่องนี้ แต่ผมถือว่าสิ่งที่ผมพูดมันเป็นสัญญาของฝ่ายการเมือง อย่างน้อยเจ้าของที่เหล่านั้นเขากำลังลังเลใจอยู่ เขาก็จะได้รอฟังเขาหน่อย เผื่อจะมีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งมันเป็นความหวัง”
นายวีระศักดิ์ กล่าวว่า ถ้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบอกว่าใช้การทำ MOU กับภาครัฐได้ ก็มีแนวปฏิบัติที่สามารถทำได้ทันที คือ ไปทำแบบฟอร์มในการทำ MOU ให้เจ้าของที่ดินที่อยากจะเข้าเงื่อนไขมารับแบบฟอร์ม หรือดาวน์โหลดแบบฟอร์มได้ นำไปกรอกข้อมูลแล้วไปยื่นเรื่องทำการตกลงกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของตนเอง แล้วให้กระทรวงมหาดไทยมีหนังสือเวียนไปแจ้งท้องถิ่นทุกแห่งให้รับทราบ เพื่อท้องถิ่นที่มีป่าชายเลนรู้ว่าเป็นนโยบายเพื่อรักษาป่า ไม่ให้ประชาชนไปโค่นป่าชายเลนทิ้งโดยไม่จำเป็น
ส่วนเรื่องระยะเวลาและกิจกรรมในการใช้ที่ดินทำประโยชน์นั้น คิดว่าควรมาปรึกษาหารือกันว่าทำอย่างไร ที่จะทำให้เจ้าของที่ดินรู้สึกดึงดูดให้เขาไม่ต้องตัดไม้ เช่น ให้รัฐใช้พื้นที่จัดกิจกรรมการเก็บขยะ ที่ให้เจ้าของที่ดินหรือชุมชน หรือใครก็ได้สามารถเข้ามาจัดกิจกรรมเก็บขยะได้ หรือให้รัฐใช้พื้นที่ปักป้ายรณรงค์การทำประมงถูกกฎหมาย เป็นต้น
“เพราะเรากำลังจะหาเหตุให้ประชาชนที่มีที่ดินป่าชายเลนไม่ต้องโดนภาษี เราไม่ได้กำลังจะสร้างภาระใหม่ คือ ภาระทางค่าภาษี เราคิดว่าราคาภาระภาษีนั้นเท่าไร เราก็ต้องทำให้คุ้มกว่าที่เราจะไปทำเสียภาษีนั้นก็พอแล้ว ถ้าราชการเอาไปใช้ สมมติว่าเป็นพื้นที่ที่มีลานอยู่แล้ว ถ้าท้องถิ่นเอาไปเพื่อจะจัดการอีเวนต์ ยิงพลุ ซึ่งเจ้าของที่เขาอาจจะไม่ได้อยากให้เป็นแบบนั้น หรือจะไปทำทางใหม่ค่าใช้จ่ายก็สูง ผมเลยมองว่าเก็บขยะก็พอแล้ว หรือเขาเปิดให้ว่า ให้ชุมชนแถบนั้นสามารถเข้ามาเลี้ยงผึ้งในพื้นที่ของเขาได้ แล้วชุมชนก็มาเก็บน้ำผึ้งออกไป แค่อย่าเหยียบกิ่งไม้ในที่ดินหักก็พอแล้ว อย่างนี้เป็นต้น”
จากข้อมูลข้างต้นสามารถสรุปแนวทางที่เป็นไปได้และรวดเร็วที่สุดในการแก้ปัญหาประชาชนที่ครอบครองที่ดินป่าชายเลนถางป่าเพื่อเลี่ยงภาษีที่ดิน ได้แก่
นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอที่น่าสนใจอีก 2 ประการ ดังนี้
ส่วนภาครัฐจะมีท่าทีและการดำเนินการอย่างไร หากมีความคืบหน้าสำนักข่าวอิศราจะนำมารายงานให้สาธารณชนได้รับทราบต่อไป
หมายเหตุ: ที่มาภาพนายวิสูตร นายชรินทร์ และนายวีระศักดิ์ จากเฟซบุ๊ก Live โดย ศูนย์นิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ปาฐกถาเปิดนำเรื่อง ‘’Good Governance and Parliamentary Functions“
3 เมษายน 2567 นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา ในฐานะสมาชิกรัฐสภา ไทย ขึ้นกล่าวปาฐกถาเปิดนำ เรื่อง ‘’ Good Governance and Parliamentary Functions “ ในโอกาสที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาไทย ร่วมเป็นเจ้าภาพกับ ศูนย์รัฐสภาเอเชีย Parliamentary Center Asia (PCAsia) ซึ่งเป็นเครือข่ายการขับเคลื่อนที่เกิดจากความร่วมมือของสมาชิกรัฐสภาและเจ้าหน้าที่ข้าราชการรัฐสภาของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง ‘’ Parliamentary Good Governance Practices “ ที่อาคารรัฐสภาไทย ระหว่างวันที่ 3-5 เมษายน 2567
ผู้เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ประกอบด้วย สมาชิกรัฐสภาจากสมัชชารัฐสภาอาเซียน หรือ AIPA ที่มีความสนใจในเรื่องแนวทางปฏิบัติที่ดีของรัฐสภาและธรรมาภิบาล และเจ้าหน้าที่รัฐสภาที่มีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องธรรมาภิบาลของรัฐสภา รวมถึงผู้เชี่ยวชาญเรื่อง แนวปฏิบัติที่ดี หรือธรรมาภิบาลจากรัฐสภาประเทศต่างๆ อาทิ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส สวีเดน และผู้เข้าร่วมอื่นๆที่มีความร่วมมือกับรัฐสภา รัฐบาล สถาบัน และองค์การภูมิภาคและระหว่างประเทศ โดยในส่วนของรัฐสภาไทย มีข้าราชการของทั้งสำนักงานสภาผู้แทนราษฎรและสำนักงานวุฒิสภาเข้าร่วม
ในการนี้ เมื่อเสร็จจากการประชุมแล้ว คณะผู้เข้าร่วมการประชุมได้เข้าร่วมสังเกตการณ์การประชุมสภาผู้แทนราษฎรของไทย ที่ห้องประชุมพระสุริยัน ระหว่างที่มีการอภิปรายทั่วไปด้วย
ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง ‘’ความรู้…ความเห็น…และความเป็นไปได้ จากภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงของโลก’’
2 เมษายน 2567 นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง ‘’ความรู้…ความเห็น…และความเป็นไปได้ จากภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงของโลก’’
ในการจัดสัมมนา ของคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ‘’ 2024-2030-2050 โลกจะเดือดต่างกันอย่างไร’’ โดยมี พลเอกสุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ประธานคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภาเป็นประธานกล่าวเปิดการสัมมนา มีสมาชิกวุฒิสภาและผู้แทนหน่วยงานต่างๆมาร่วมรับฟังเป็นจำนวนมาก
หลังจากนั้นเป็นการบรรยายพิเศษของ นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง’’ข้อเสนอที่อยากชวนประชาสังคมร่วมมือกับกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม’’
ปิดท้ายกิจกรรมด้วยการอภิปรายเวทีร่วมกันเรื่อง ‘’แล้วเราจะอยู่ด้วยกันอย่างไร?’’ เพื่อตอบข้อซักถามจากผู้เข้าร่วมสัมมนาทั้งที่เข้าร่วมจากทางออนไลน์และที่มาร่วมที่ห้องสัมมนาในอาคารรัฐสภา
ผู้สนใจสามารถชมคลิปการถ่ายทอดกิจกรรมสัมมนานี้ได้ที่
https://www.facebook.com/share/v/Nq6Kdn4ZgL7gMzCR/?mibextid=oFDknk
บรรยายพิเศษ ‘’ESG ปัจจัยหลักของความรับผิดชอบต่อโลกและสังคม’’
วันเสาร์ที่ 30 มีนาคม 2567 นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา กรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา เป็นวิทยากรบรรยายพิเศษ ในหลักสูตรการบริหารจัดการด้านความมั่นคงระดับสูง รุ่นที่ 15 (มส. 15) ในหัวข้อ ‘’…ESG ปัจจัยหลักของความรับผิดชอบต่อโลกและสังคม’’ โดยมีพลเอก ดร. มารุต ปัชโชตะสิงห์ ผู้อำนวยการหลักสูตร และคณะกรรมการหลักสูตรให้การต้อนรับ ที่ห้องประชุม ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร
โดยนายวีระศักดิ์ได้อธิบายให้เห็นหลักการบริหารจัดการของทั้งองค์กร บุคคล และระดับสังคมที่จะต้องมีความรู้แบะความรับผิดชอบต่อ สิ่งแวดล้อม ต่อสังคมและต่อหลักการธรรมาภิบาล และได้อธิบายให้ผู้เข้ารับการอบรมได้ทราบถึง สภาวะที่กำลังเกิดขึ้นจริงในสภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ทั้งจากแถบขั้วโลกที่น้ำแข็งละลาย กลายเป็นการเพิ่มปริมาณน้ำในมหาสมุทร ในระดับที่ควรจับตา การลดความเค็มของน้ำทะเลรอบเกาะน้ำแข็งกรีนแลนด์ที่มีความหนาเฉลี่ย 2-3 กิโลเมตร และมีขนาดใหญ่กว่าประเทศไทยถึง 15 เท่า ทำให้ความสามารถของ AMOC ซึ่งทำหน้าที่เสมือน สายพานลำเลียงทั้งความเยือกเย็นและสารอาหา รอันอุดมสมบูรณ์จากขั้วโลกเหนือและใต้ให้กระจายไปสู่ทะเลทั่วโลก อาจหยุดลง การละลายของดินชั้นเยือกแข็งในแถบบนของทวีปเอเชีย อเมริกาเหนือ ยุโรป ที่ปลดปล่อยมีเทนและคาร์บอนไดออกไซด์จากชั้นดินขึ้นสู่บรรยากาศ เพิ่มก๊าซเรือนกระจกมหาศาลซ้ำเติมสภาวะเรือนกระจกเข้าไปอีก แถมยังปลดปล่อยเชื้อโรคและพยาธิที่เคยหลับไหลมาหลายพันปีในชั้นใต้ดินเยือกแข็งนี้ให้ไหลออกมาพร้อมน้ำแข็งที่ละลายออกมา และอาจทำให้มีโรคระบาดระลอกใหม่ๆกลับเข้ามาในสังคมอีก
ดังนั้น การบริหารจัดการทรัพยากร การทำแผนการตลาด การบริหารนโยบาย และการบริโภคสินค้าและพลังงาน การออกแบบสินค้าและบริการใดๆ จึงต้องคำนึงถึงสภาวะที่กำลังเป็นไปจากสิ่งแวดล้อม ที่จะกระทบต่อทั้งภาคธุรกิจ ภาคความมั่นคง ภาคผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง คนยากจน และประเทศกำลังพัฒนา