ยินดีต้อนรับเข้าสู่เว็บไซต์ วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ www.weerasak.org
ทีมควบคุมไฟป่าของพื้นที่ 4 ป่าใหญ่ภาคเหนือ ร่วมกับสภาลมหายใจถอดบทเรียนหลังหมดฤดูฝุ่น
วันที่ 8 สิงหาคม 2567 นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ประธานสภาลมหายใจกรุงเทพฯ ดร.เจน ชาญณรงค์ รองประธานสภาลมหายใจกรุงเทพฯและประธานชมรมนักเรียนทุนมูลนิธิอานันทมหิดล นายปัณรส บัวคลี่ ประธานสภาลมหายใจภาคเหนือ เข้าร่วมประชุมถอดบทเรียน ( After Action Review)กับ นายนฤพนธ์ทิพย์มณฑา และผู้คณะบริหารสำนักป้องกัน ปราบปราม และควบคุมไฟป่า ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ผู้อำนวยการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของพื้นที่ ตาก เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน ร่วมกับ ผู้แทนกรมป่าไม้ ผู้แทนกองทัพภาค หน่วยทหาร กอรมน. กำนัน ผู้แทนฝ่ายปกครอง ผู้แทนการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ผู้แทนสาธารณสุขพื้นที่ เข้าร่วมประชุมรับฟังแลกเปลี่ยนข้อมูลผลการควบคุมและระงับไฟใน 4 เขตป่าคือ แม่ปิง แม่ตื่น อมก๋อย แม่พริก ที่หอประชุมเกษม จาติกวนิช เขื่อนภูมิพล อำเภอสามเงา จังหวัดตาก
โดยสถานการณ์ไฟป่า 2567 ที่ผ่านมา Hot Spot ในป่าอนุรักษ์ทั่วประเทศลดลง 28.64% พื้นที่เผาไหม้ในป่าอนุรักษ์ภาคเหนือ17จังหวัดลดลง46.89%
นับว่าเป็นการทำงานลดฝุ่นจากการเผาได้มากที่สุดพื้นที่หนึ่ง ด้วยมาตรการเชิงรุก จัดชุดทหารเคาะประตูผูกมิตรกับกลุ่มบุคคลที่เข้าข่ายจับตาว่าอาจเข้าป่าจุดไฟ ตัวแทนหน่วยพัฒนาและกำนันชักชวนเปลี่ยนอาชีพหรือเปลี่ยนพฤติกรรมได้ราวครึ่งหนึ่ง สตรีชาวบ้านพากันชักชวนภรรยาของกลุ่มเสี่ยงมาช่วยหารายได้อื่นเสริมหรือไปกดดันสามีให้หยุดพฤติกรรมเสี่ยงตามชายป่า ในขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ที่รักษาป่าก็เข้มงวด ลาดตระเวณ เฝ้าดูจุดตรวจ จุดเสี่ยงเคร่งครัดจริงจังขึ้น
ปีที่ผ่านมา 17 จังหวัดภาคเหนือเกิดไฟป่าทั้งหมด 9.7 ล้านไร่
ในอดีต ไฟในป่าเหนือเขื่อนภูมิพลนี้ไหม้ซ้ำซากมาร่วม 10 ปี และอยู่ในเขตของ 3 ป่าอนุรักษ์ที่เชื่อมต่อกันเป็นรอยต่อสามจังหวัด คือ เชียงใหม่ ลำพูน และตาก ทั้งนี้ต้นปี 2566 กรมอุทยานฯ เคยรายงานผลรอยไหม้จากดาวเทียม Landsat-8 ของป่าสามผืนนี้ว่า
พบรอยไหม้ในป่าแม่ตื่น 3.7 แสนไร่ คิดเป็น 48% ของพื้นที่
พบรอยไหม้ในป่าแม่ปิง 2.4 แสนไร่ หรือราว 38%ของพื้นที่
และพบรอยไหม้ในป่าอมก๋อย 2.3 แสนกว่าไร่ หรือราวๆ 30% ของพื้นที่
รวมเป็นราวๆ 8แสน4หมื่นไร่ของป่าที่ถูกไหม้ไปอย่างน่าเสียดาย
ดังนั้น เมื่อนำมาคำนวณกับ
พื้นที่เผาไหม้ป่า 17 จังหวัดภาคเหนือซึ่งทั้งหมดอยู่ที่ 9,768,928 ไร่
จึงทำให้ที่นี่เคยเป็นไฟแปลงใหญ่ที่สุด เกิดผลกระทบมากสุดเป็นลำดับต้นของภาคเหนือ โดยไฟจะเกิดขึ้นช่วงปลายเดือนมกราคมต่อเนื่องกุมภาพันธ์ ไปถึงต้นๆ มีนาคม ซึ่งช่วงนั้นลมจะพัดเปลี่ยนจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ขึ้นมา แทนลมตะวันออกเฉียงเหนือและจะหอบฝุ่นควันเข้าแอ่งเชียงใหม่ไล่ขึ้นไปอบอวลอยู่ในภาคเหนือตอนบน
ดังนั้น เมื่อต้นปี 2567 นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ลงนามจัดตั้ง “ศูนย์ปฏิบัติการไฟป่าเขื่อนภูมิพล อ.สามเงา จ.ตาก”
ซึ่งในปี 2567 กรมอุทยานฯ ตั้งเป้าหมายจะลดพื้นที่เผาไหม้ลงร้อยละ 50 จากปี 2566
แต่ที่พิเศษคือคำสั่งตั้งศูนย์ดังกล่าวมีการแต่งตั้งที่ปรึกษา จำนวน 20 คน โดยนำเอาผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 310, ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 33, นายอำเภออมก๋อย, นายอำเภอดอยเต่า, นายอำเภอลี้, นายอำเภอสามเงา, นายอำเภอแม่ระมาด, ผอ.เขื่อนภูมิพล เข้าไปด้วย เพื่อให้สามารถจัดประชุมทำงานระดับพื้นที่ร่วมกัน โดยไม่ต้องติดขัดเรื่องอำนาจที่แตกต่างระหว่างหลายๆหน่วย แต่เอาเป้าหมายลดความเสียหายของป่าและของสุขภาพสังคมไปด้วยกัน
ผลของการทำงานร่วมแบบนี้จึงให้ผลลัพท์ที่แตกต่างจากอดีต
อย่างไรก็ตาม ในการถอดบทเรียน ที่ประชุมสามารถสรุปอุปสรรคที่ยังท้าทายได้แก่
1. เส้นทางเข้าถึงลำบาก ต้องใช้การเดินเท้าขึ้นเขาเป็นหลัก ใช้ระยะเวลานานจึงจะเข้าถึงพื้นที่ได้ การส่งกำลังทางอากาศน่าจะช่วยลดปัญหานี้ได้
2. กระแสลมแรงบนภูเขาสูงชันย่านนี้ ทำให้ลูกไฟกระจายเร็วและตกกลิ้ง ยากแก่การควบคุม และทีมสนามต้องรอจังหวะการเข้าปะทะควบคุมเพลิงในพื้นที่เพราะไม่มีสัญญาณสื่อสาร ทำให้การรายงานทำได้อย่างล่าช้า การรอดูผลรอบดาวเทียมถัดไปเพื่อประเมินวางแผนหน้างานปฏิบัติจึงต้องช้าตามไปด้วย
3. ปัญหาน้ำดื่มไม่เพียงพอ แหล่งน้ำอยู่ห่างไกล ห้วยเล็กห้วยน้อยแห้งผากหมด (แม้ในชั้นต้นสนับสนุนเกลือแร่ซองเพื่อบรรเทาความอ่อนเพลียแล้วแต่ก็ต้องใช้น้ำสะอาดอยู่ดี จึงควรมีสถานีส่งน้ำหรือเก็บรักษาน้ำสะอาดไว้ตามจุดกระจายให้เพียงพอ
4. ควรพิจารณาทำฝายหินเตี้ยๆตามลำธารน้ำบนเขาไว้เป็นช่วงๆ รักษาความชื้นไว้ให้พอเป็นแนวกันไฟในหน้าแล้ง เพื่อไม่ให้ไฟลามเร็วเกินไป
นายวีระศักดิ์ กล่าวสรุปว่า "...ทีมที่จะเสี่ยงเข้าดับไฟมีน้อยกว่าขนาดพื้นที่มาก ทรัพยากรและอุปกรณ์สนับสนุนยังจำกัดมาก งบกลางแม้มีให้มาเป็นครั้งแรกก็มาถึงช้ามาก สิ่งเหล่านี้จึงควรที่ผู้นำระดับนโยบายต้องเข้ามาช่วยแก้ไขให้ลุล่วง ส่วนอีกด้านคือด้านป้องปรามเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมคนจุดไฟ ซึ่งคาดกันว่าในไทยมีไม่น่าจะเกิน 3-4พันคน กระจายอยู่ตามชุมชนใกล้ป่า แต่ชาวบ้านด้วยกันไม่มีพลังในการห้ามปรามคนเหล่านั้น ดังนั้นการสนับสนุนเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจและฝ่ายปกครอง ตลอดจนนักจิตวิทยา ให้เข้าไปร่วมกับชาวชุมชนเพื่อจะทั้งกดดันทั้งชวนกลุ่มเสี่ยงให้เปลี่ยนกิจกรรม. ก็จะช่วยลดไฟในพื้นที่และดับไฟในใจผู้จุดลงได้อีกมาก ..."
"..ร่าง พรบ.อากาศสะอาดคงจัดระบบสนับสนุนและอำนวยการไปได้ก็จริง แต่ผลชี้ขาดจะอยู่ที่ภาคสนามที่มีทั้งแผนรุกเข้าดับไฟในใจผู้จุด ดังนั้น ภาคการเมืองและผู้มีอำนาจระดับต่างๆจึงควรสนับสนุนกลไกเหล่านี้ให้ต่อเนื่องจริงจัง..ถ้าชุมชนเข้มแข็ง ทีมเจ้าหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้ทุกท้องถิ่น การแก้ปัญหามลพิษทางอากาศที่สู้ทนกันมาเป็นสิบปี ก็จะมีความหวังได้ ดีขึ้น
ส่วนในเรื่องจุดความร้อนนอกราชอาณาจักร เราคงหนีไม่พ้นที่ต้องไปช่วยเพื่อนบ้านทั้งในระดับราชการและภาคประชาสังคมเช่นกัน
ซึ่งสัปดาห์หน้ากรมอุทยานฯและกรมกิจการชายแดนจะจัดฝึกอบรมการควบคุมป้องกันไฟในป่าให้ทีมของ สปป.ลาวเป็นครั้งแรก และคงจะต้องหาทางจัดให้เพื่อนบ้านอื่นๆต่อๆไปอีกด้วย ซึ่งจะดีมาก หากภาคธุรกิจมีส่วนสนับสนุนให้กิจกรรมดีๆอย่างนี้ก้าวหน้าไปได้เร็ว..." นายวีระศักดิ์กล่าวในที่สุด
เข้าร่วมถอดบทเรียนการสกัดไฟในป่ากับทีมอุทยาน ทหาร ท้องที่ ท้องถิ่น อาสาสมัคร ชาวบ้าน
วันนี้ 7 สค 2567 ผมบินไปแม่สอดแล้วต่อรถเข้าไปเขื่อนภูมิพล คงไปถึงมืดๆ เลยครับ
กิจกรรมนี้ผมได้รับเชิญเข้าร่วมถอดบทเรียนการสกัดไฟในป่ากับทีมอุทยาน ทหาร ท้องที่ ท้องถิ่น อาสาสมัคร ชาวบ้าน จะได้มีข้อมูลสนามล่าสุดมาใช้ประกอบการพัฒนานโยบายสาธารณะและกลไกที่ควรมี เรื่องอากาศสะอาดกันต่อ ครับ
ออกเดินทางมาพร้อมกับ ดร.เจน ชาญณรงค์ ประธานชมรมนักเรียนทุนอานันทมหิดล และคณะของ ผอ. สำนักป้องกัน ปราบปรามและควบคุมไฟป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ทางเครื่องบินจากดอนเมืองสู่แม่สอด โดยมีคุณเจิน นายก อบต.แม่ปะ ผู้บริหารท้องถิ่นในแม่สอด ซึ่งเคยเป็นลูกศิษย์ผมในหลักสูตร อบรมนักบริหารของสถาบันพระปกเกล้า เดินทางมาด้วย หน้าฝนบนเทือกเขาถนนธงชัย ตลอดแนวชายแดนฝั่งตะวันตก อากาศเย็นสบายมากๆ ครับ
บรรยายพิเศษเรื่อง "ความคาดหวังและคุณลักษณะของข้าราชการรัฐสภาที่ดี"
5 สิงหาคม 2567 นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ เป็นวิทยากร บรรยายพิเศษ ในฐานะอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร อดีตสมาชิกวุฒิสภา อดีตข้าราชการรัฐสภาฝ่ายการเมือง เรื่อง " ความคาดหวังและคุณลักษณะของข้าราชการรัฐสภาที่ดี" ในหลักสูตรการฝึกอบรมข้าราชการใหม่ ของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฏร และสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ที่ห้องอบรม ที่อาคารรัฐสภา
โดยมีข้าราชการรัฐสภาบรรจุใหม่ของทั้งสองสำนักงานที่เข้ารับการอบรมจำนวน 64 คน
โดยนายวีระศักดิ์ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่ข้าราชการรัฐสภาต้องเน้นความเป็น"มืออาชีพ" เพราะต้องทำงานใกล้ชิดกับนักการเมือง การวางตนด้วย ความแม่นยำใน ความรู้-ทักษะ-ทัศนคติ ที่ทันสมัย และรอบด้าน จะช่วยให้ภารกิจ คล่องตัว มีภูมิคุ้มกันตนเอง มีความน่าเคารพและจะทำให้สามารถบรรลุเป้าประสงค์ของงานสนับสนุนด้านนิติบัญญัติ ไม่ว่าจะด้านธุรการของการประชุม การธุรการของงานที่ฝ่ายนิติบัญญัติติดตามตรวจสอบฝ่ายบริหาร และการธุรการสำนักงานราชการที่พึงเป็นองค์กรแบบอย่างในการชี้นำในยุคที่สิ่งแวดล้อมทางการเมือง เทคโนโลยี เศรษฐกิจ ความมั่นคง ตลอดจนระบบนิเวศในธรรมชาติ สภาวะโลกร้อนภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ความเหลื่อมล้ำทางสังคมทั้งของไทยและของโลกกำลังบีบรัด และมีความท้าทายยิ่ง
"...แม้อาชีพข้าราชการอยู่ในฐานะที่มั่นคงสูง มีเกียรติ มีสวัสดิการดี แต่ความคาดหวังจากภาคประชาสังคมก็จะยิ่งสูงขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป ดังนั้น ความมีวินัย น้ำใจ และความเป็นมืออาชีพจึงเป็นพื้นฐานสำคัญที่ข้าราชการทุกฝ่ายพึงรักษาให้ดี เพื่อธำรงไว้ซึ่งปณิธานการบริการสังคมและมุ่งรักษาผลประโยชน์แห่งสาธารณะเป็นเป้าสูงสุดเสมอ..." นายวีระศักดิ์กล่าว
ปาฐกฐาพิเศษ เรื่อง "การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของไทย"
วิจัยยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพไทย 27 กรกฎาคม 2567 นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ประธานสภาลมหายใจกรุงเทพฯรับเชิญมาปาฐกฐาพิเศษ เรื่อง "การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของไทย" ที่ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์ ในโอกาสที่ กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จัดงานมหกรรม "อว. FAIR 2567" โดยมี ผศ.สุภาวดี โพธิยะราช ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส สกสว.สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และประธานอนุกรรมการแผนงานกลุ่มท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ บพข. (หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ) มอบของที่ระลึกในงานดังกล่าว
โดย นายวีระศักดิ์ ชี้ให้เห็นว่า มูลค่าการท่องเที่ยวด้านสุขภาพของโลกนับแต่พ้นยุคโควิดได้กลับมาฟื้นโตอย่างรวดเร็ว ขยายตัวถึงปีละ 21% มียอดการหมุนเวียนการลงทุนและใช้จ่ายถึง 651พันล้านเหรียญสรอ. ในปี 2022 โดยการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพนับเป็นหนึ่งใน 10 ด้านสำคัญของเศรษฐกิจจากฐานสุขภาพของโลก ที่แบ่งออกเป็น
1.เศรษฐกิจด้านความงาม คือ การดูแลบำรุงผิวภายนอก (Personal Care& Beauty) $1,089พันล้านเหรียญ
2.เศรษฐกิจด้านสหเวชศาตร์และโภชนาการ ดูแลการรับประทานอาหารให้เหมาะสม การควบคุมน้ำหนักตัว (Healthy Eating, Nutrition,& Weight Loss) $1,079 พันล้านเหรียญ
3.เศรษฐกิจการออกกำลังกาย (Physical Activity) $ 976 พันล้านเหรียญ
4.การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) $651พันล้านเหรียญ
5.เศรษฐกิจจากเวชศาสตร์การป้องกันโรค และเวชกรรมส่วนบุคคล (Public Health Prevention & Personalized Medicine) $615 พันล้านเหรียญ
6.เศรษฐกิจเวชภัณฑ์ ยาทั้งแผนโบราณและแผนปัจจุบัน $ 519 พันล้านเหรียญ
7. การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้านสุขภาพ $398 พันล้านเหรียญ
8. เศรษฐกิจด้านสุขวิทยาทางจิต เช่น การบำบัดความเครียด การแก้ปัญหาโรคซึมเศร้า นอนไม่หลับ การฝึกโยคะ การนั่งสมาธิ $181 พันล้านเหรียญ
9. เศรษฐกิจจากการนวดสปาและน้ำพุร้อน $151พันล้านเหรียญ
10. เศรษฐกิจการจัดการสุขภาพในที่ทำงาน เช่น การตรวจสุขภาพประจำปีให้พนักงาน การจัดการอาชีวอนามัยในสถาน ที่ทำงาน $51พันล้านเหรียญ
เมื่อรวมขนาดเศรษฐกิจการดูแลบริการสุขภาพทั้ง 10 ด้านทั่วโลกจะมีขนาดถึง $ 5.6 หมื่นล้านเหรียญทีเดียว ดังนั้น ประเทศไทย เป็นหนึ่งในที่หมายยอดนิยมที่สำคัญในระดับสากลจากผู้สนใจดูแลด้านสุขภาพ ทั้งเพราะมีบริการคุณภาพหลากหลายครอบคลุม มีทักษะการบริการที่อ่อนโยน นุ่มนวล เป็นมิตร เอาใจใส่(Thainess) มีอาหารอร่อยหลากหลาย มีสมุนไพร และมีราคาบริการรักษาพยาบาล ตลอดจนค่าใช้จ่ายการผ่าตัดที่ไม่แพงและคิวรอไม่นานเท่าอีกหลายๆประเทศ แต่มีมาตรฐานคุณภาพที่ดีมาก ดังนั้น การจัดระบบและที่ทางด้านนโยบายและแผนปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของไทยให้เป็น Caring Economy Base จะเป็นเครื่องมือและความหวังที่สดใสของไทยไปได้อย่างดี
จึงเป็นที่น่ายินดีของประเทศไทย ที่กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กองทุน ววน.) โดย สกสว. และ บพข.ได้ให้ความสำคัญในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ด้วยการจัดสรรงบประมาณการวิจัยสนับสนุนให้คณะนักวิจัยทำงานร่วมกับภาคเอกชน/ผู้ประกอบการ เพื่อยกระดับและขับอเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพนี้อย่างต่อเนื่อง
อนึ่ง ในการปาฐกฐานี้ได้รับเกียรติจากจากคุณHONG JE HE ที่ปรึกษาของประธานาธิบดีเกาหลีใต้มาร่วมรับฟังด้วย
บรรยายพิเศษในหัวข้อ "โอกาสใหม่ของไมซ์ ทำไมถึงต้องยั่งยืน"
วันที่ 26 ก.ค. 67 ที่ โรงแรมอมารี หัวหิน จ.ประจวบฯ นายสินาทร โอ่เอี่ยม รองผู้ว่าราชการ จ.ประจวบฯ เป็นประธานเปิดการประชุม "สัมมนาเพื่อยกระดับการท่องเที่ยวคุณภาพสูงผ่านการจัดงานไมซ์อย่างยั่งยืน (Enhancing the Potential of High Value Tourism through MICE"s Sustainability Industry) โดยมี นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ดร.สุรัชสานุ์ ทองมี ผอ.สำนักส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) ภาคกลาง นางสาวพัชรศรี สมบัติทวีพูน ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดประจวบฯ นางวาสนา ศรีกาญจนา นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวหัวหิน/ชะอำ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ประกอบการท่องเที่ยวและไมซ์ในพื้นที่จังหวัดประจวบฯ-เพชรบุรี เข้าร่วม
ทั้งนี้ เนื่องจากสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) กำลังเร่งยกระดับการท่องเที่ยวสำหรับนักเดินทางธุกิจด้วยการถ่ายทอดองค์ความรู้ผ่านการจัดงานไมซ์อย่างยั่งยืน โดยครั้งนี้ มีผู้ประกอบการท่องเที่ยวและMICE จากหัวหิน-ชะอำ และพื้นพื้นที่ใกล้เคียงกว่า 60 แห่ง เข้าร่วม โดยมุ่งเน้นการถ่ายทอดองค์ความรู้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ในประเด็นที่เกี่ยวข้อง มีการบรรยายหัวข้อ "การจัดงานไมซ์อย่างมืออาชีพ...จะทำอย่างไรให้ WOW" รวมทั้งหัวข้อ"การจัดการความยั่งยืนจะสามารถยกระดับขีดความสามารถของผู้ประกอบการไมซ์ไทยได้อย่างไร" โดยมีวิทยากร เช่น นางมาริสา สุโกศล หนุนภักดี MD โรงแรมเดอะสุโกศล อดีตนายกสมาคมโรงแรม นายสุทธิชัย บัณฑิตวรภูมิ EVP บ. NCC Management & Development จำกัด นางสาวจิตตินทร์ ฤทธิรัตน์ สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ
โดยไฮไลท์ของการประชุมสัมมนาครั้งนี้คือ การบรรยายพิเศษในหัวข้อ "โอกาสใหม่ของไมซ์ ทำไมถึงต้องยั่งยืน" โดยนายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา