ยินดีต้อนรับเข้าสู่เว็บไซต์ วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ www.weerasak.org
ระดมสมองก่อนถกแถลงรายงาน Trade, & Development Report 2024
ระดมสมองก่อนถกแถลงรายงาน Trade, & Development Report 2024 รายงานการค้ากับการพัฒนา ของ UNCTAD ประจำปี 2024
ที่ห้องประชุมเธียเตอร์ อาคารสำนักงานสหประชาติ ESCAP ถนนราชดำเนินนอก สำนักงานสหประชาชาติเพื่อการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) จากนครเจนีวา ร่วมกับ สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา ซึ่งเป็นองค์การมหาชนไทย สังกัดกระทรวงพาณิชย์ (International Institute for Trade and Development หรือ ITD) และสมาคมนักเรียนเก่ามหาวิทยาลัยฮาร์วารด์ ประจำประเทศไทย (Harvard Club of Thailand) จัดให้มีการเสวนาประกอบการแถลงสรุปรายงาน การค้ากับการพัฒนา 2024
โดยมี นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ เป็นประธานกล่าวเปิด ในฐานะที่เป็นทั้งอดีตผู้อำนวยการสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา และเป็นนักเรียนเก่าทางกฏหมายจากมหาวิทยาลัย ฮาร์วาร์ด กล่าวนำ โดยมีใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า เศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศและการพยายามเปิดเสรีการค้าของโลกดำเนินมาถึงจุดเปลี่ยนที่สร้างความโกลาหลรุนแรง จากนโยบายของผู้นำสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีทีท่าที่มองกติกาการค้าเสรีอย่างอึดอัดไม่ถูกใจมานาน นับแต่ช่วงแรกของการเข้าถึงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐครั้งแรก ตี้งแต่ก่อนโควิดในปี 2018 แล้ว ,ดดยนายวีระศักดิ์ย้อนภาพการประชุม จี7 ในปี 2018 ที่ผู้นำชาติพัฒนาแล้วที่ต่างแสดงท่าทีคัดค้านการแสดงนโยบายของนายโดนัล ทรัมป์ในรูปแบบวงปิด โดยท่าทีของผู้นำสหรัฐในวันนั้นนั่งกอดอก จ้องกลับแบบไม่สบอารมณ์นัก และบัดนี้ ทรัมป์กลับคืนสู่อำนาจในเวลาที่ผู้นำจี7วันนั้นต่างพ้นจากอำนาจไปหมดแล้ว และสหรัฐเลือกที่จะทำนโยบายการค้าแบบ"เอาคืน"ที่ระดมทั้งตัวเลขดุลการค้า และคำประกาศทวงความเป็นธรรมเอากับภูมิภาคต่างๆแทบทุกมุมโลกเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการคงฐานทัพและเส้นทางคุ้มครองที่กองทัพสหรัฐใช้จ่ายเพื่อธำรงเสถียรภาพให้โลก โดยต้องการให้ชาตืที่ค้าขายส่งออกสินค้ามายังสหรัฐยอมจ่ายค่าธรรมเนียมศุลกากรการนำเข้าในอัตรา"เอาคืน" ก่อให้เกิดความชะงักงันต่อบรรยากาศการค้าเสรีทั่วโลก
นายวีระศักดิ์ชี้ว่านี่จึงเป็นช่วงเวลาที่ผู้มีความรู้และประสบการณ์มีพันธกิจร่วมที่จะมาระดมสมอง หาทางเลือกและทางออกต่อบรรยากาศที่ไม่เป็นคุณต่อทั้งการพัฒนาที่ยั่งยืน และไม่เป็นคุณต่อบรรยากาศของการค้าในสภาวะท่เศรษฐกิจโลกก่อนทรัมป์2 ก็ยังฟื้นตัวช้าๆ ทั้งจากโควิด19 และความขีดแย้งของ Geopolitics ภาวะภัยธรรมชาติและอากาศสุดขั้วจากสภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง และการกีดกันการเข้าถึงทรัพยากรระหว่างมหาอำนาจกับแหล่งผลิตแร่หายาก ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของเทคโนโลยีดิจิทัลต่างๆ
จากนั้น ดร.ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (WTO) และอดีตเลขาธิการองค์การสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) ขึ้นให้ความเห็นเกี่ยวกับรายงานการค้าและการพัฒนา 2024 กับการกลับมาของโดนัลด์ ทรัมป์ ในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 หรือที่เรียกว่า “ทรัมป์ 2.0” นั้น ไม่ได้เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงระเบียบโลก แต่เป็นเพียงการตอกย้ำปรากฏการณ์การเปลี่ยนผ่านที่เกิดขึ้นมานานแล้ว
และมองว่าทางออกหนึ่งที่น่าพิจารณาสำหรับชาติทั้งหลายต่อเหตุการณ์นี้ คือการเสนอให้มีเจ้าภาพจัดหารเจรจาพหุภาคีรอบใหม่ที่จำเพาะเจาะจงแบบให้เกียรติแก่สหรัฐเป็นรอบเฉพาะ ส่วนจะต้องเจรจากันนานเท่าใดก็สามารถวางกรอบเป็นเวลานับเดือนนับปีไป "...แต่สาระคือ โลกควรยึดมั่นในหลักการการเจรจาพหึภาคีเอาไว้ อย่าปล่อยให้การบีบชาติเล็กกว่าต้องจำใจเข้าสู่การเจรจาแบบทวิภาคีที่อำนาจต่อรองจะขาดความเสมอภาคระดับนั้น เพราะที่จริงแนวคิดการเจรจาการค้าพหุภาคีที่มุ่งสู่การเปิดเสรีและความเป็นธรรมที่เสมอภาคในการพัฒนาก็เป๋นฐานคิดตั้งต้นมาจากสหรัฐอเมริกาในฐานะแกนนำชาติผู้ชนะสงครามโลกครั้งที่2 และชาติอื่นๆก็ทยอยเข้าร่วมในเวทีองค์การการค้าโลก หรือ WTO กันจนจะครบถ้วนไปแล้ว แม้แต่จีนก็ได้เข้าร่วมในทิศทางที่กติกาโลกตะวันตกออกแบบไว้แล้ว..."
จากนั้นนักเศรษฐศาสตร์ของ UNCTAD เชื่อมสัญญานเข้ามาร่วมสื่อสารบทวิเคราะห์ของรายงานการค้าและการพัฒนา จากเจนีวา
จบแล้วเป็นการตั้งเวทีเสวนาระหว่างดร.สมชาย ภคภาควิวัฒน์ นักวิชาการชื่อดัง ดร.ดอน นาครทรรพ์ นักวิชาการอาวุโสธนาคารแห่งประเทศไทย ดร.บุรินท์ อดุลย์วัฒนา นักวิเคราะห์เศรษฐกิจอาวุโสสถาบันวิจัยธนาคาร K แบงค์ ซึ่งต่างก็ให้ความเห็นว่าการวางแผนเจรจาท่าทีแบบร่วมกับประเทศอื่นๆที่กำลังประสบภาวะถูกตั้งกำแพงภาษีฝ่ายเดียวโดยสหรัฐ แต่มีข้อสังเกตว่า ในรายงานของ สำนักงานผู้แทนการค้าของสหรัฐ หรือ USTR นั้น กรณีประเทศไทยปรากฏเป็นสาระส่วนใหญ่ในรายงาน USTR ว่าไทยมีประเด็นที่สหรัฐติดใจเกี่ยวกับมาตรการกีดกันการนำเข้าที่ไม่ใช่ภาษี หรือ Non Tariff Barriers ไม่ใช่เรื่องอัตราภาษีศุลกากรสีกเท่าไหร่ ดังนั้น สิ่งที่ไทยควรพิจารณาทบทวนก็คือเรื่องมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี ว่ามีสิ่งที่เรามีความสมเหตุสมผลในการใช้มาตรการเหล่านั้นอยู่เพียงใด
EP.241 Topic: กระตุ้นการท่องเที่ยวตั้งเป้ารายได้โต 3.4 ล้านล้านบาท ทำได้อย่างไร
EP.241 Topic: กระตุ้นการท่องเที่ยวตั้งเป้ารายได้โต 3.4 ล้านล้านบาท ทำได้อย่างไร ร่วมรับฟังได้ทางแพลตฟอร์ม Clubhouse มัคคุเทศก์และผู้นำเที่ยว
วันพฤหัสที่ 1 พฤษภาคม 2568 เวลา 21.00-24.00 น.
วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ :
- อาจารย์วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ - อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา 3 สมัย
- คุณสุรวัช อัครวรมาศ - ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ การท่องเที่ยว สภาผู้แทนราษฎร
ดำเนินรายการโดย : พี่ตง และอาจารย์โจ
https://www.clubhouse.com/invite/zg8Sjj8L65karaQLqYJyAdLOngI0w5Q4e
:WdA_sSULaBRRVzX6ykmMWlGwar1vtve36a1azFGsPT8
ประชุมใหญ่ประชาคมภาคเหนือร่วมตั้งโจทย์วิจัยมุ่งเป้า ใช้"ความรู้สู้ฝุ่น"
27 เมษายน 2567 ที่ห้องประชุม คอนเวนชั่น โรงแรมวินทรี ซิตี้ รีสอรท์ จังหวัดเชียงใหม่ นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ประธานคณะกรรมการแผนงานวิจัยมุ่งเป้าลดปัญหาฝุ่นควันภาคเหนือตอนบน 8 จังหวัด ของ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(สกสว) ร่วมกับสำนักงานวิจัยการเกษตร (สวก) และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นเจ้าภาพเชิญประชุม ภาคีภาคประชาสังคมเช่น สภาลมหายใจภาคเหนือ สภาลมหายใจเชียงใหม่ และสภาลมหายใจทุกจังหวัดในภาคเหนือตอนบน เพื่อให้ภาคประชาสังคมสามารถมีส่วนเสนอโจทย์วิจัยแบบมุ่งเป้า ที่เป็นความต้องการของพื้นที่ และสร้างการมีส่วนร่วมกับนักวิชาการ นักวิจัยจากสถาบันการศึกษาในภาคเหนือตอนบนทั้งหมด
โดยการประชุมนี้ได้รับความสนใจจากนักวิชาการและนักเคลื่อนไหว เรื่องมลพิษทางอากาศเข้าร่วมอย่างหลากหลาย โดย นายวีระศักดิ์ ทำหน้าที่ประธานการประชุมทั้งภาคเช้าและบ่าย โดยมี ดร.เจน ชาญณรงค์ ดร.บัณทูร เศรษฐศิโรฒน์ กรรมการส่งเสริมแผนงานแบบมุ่งเป้า PM2.5 นายประลอง ดำรงค์ไทย ผู้อำนวยการบริหารแผนงานวิจัยแบบมุ่งเป้า คณะทำงานและคณะผู้บริหารจากหน่วยวิจัย ทั้งจากส่วนกลางจากกรุงเทพฯ และจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ในภาคเหนือตอนบนเข้าร่วมกว่าร้อยคน
โดยที่ประชุมได้แลกเปลี่ยนข้อมูลในหลายมิติ เช่น การจัดระบบข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจหรือ AI ด้านการจัดการฝุ่น การลดการเผาและการจัดการไฟในพื้นที่ป่าไม้ การลดการเผาในพื้นที่เกษตร การสื่อสารเชิงรุก และมิติมลพิษทางอากาศข้ามแดน
ทั้งนี้ที่ประชุมเห็นพ้องกันในการวางน้ำหนักโจทย์วิจัยชุดใหม่นี้ให้มีทั้งการวิเคราะห์พฤติกรรมไฟ ทิศทางลม ลุ่มอากาศ ทั้งในไทยและในประเทศข้างเคียง พฤติกรรมทางสังคมและเศรษฐกิจของผู้จุดไฟเผา การวิเคราะห์ผลการจัดระเบียบการใช้ไฟอย่างรับผิดชอบ ที่ทางการมีการเก็บสถิติย้อนหลังไว้ด้วยผ่านการวิเคราะห์เนื้อหาและผลลัพท์เปรียบเทียบแบบปีต่อปี ย่อนหลังไปได้หลายๆปี
เพื่อประโยชน์ในการได้ผลงานวิจัยที่ทันสมัย ทันต่อสถานการณ์ ตอบโจทย์ในฐานะบทวิเคราะประกอบการตัดสินใจของผู้บริหารให้ได้ทั่วถึง และครบด้าน
ร่วมงานสงกรานต์ สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ
25 เมษายน 2568 ร่วมงานสงกรานต์ในโอกาส สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ ในโอกาสสมาคมมีอายุครบ25ปี ที่อิมแพค เมืองทองธานี
แนวทางการรับมือภาษีทรัมป์
“ไทยเจอกำแพงภาษีจากสหรัฐฯ 36%” ประเด็นพาดหัวข่าวที่กำลังเป็นที่ร้อนแรงในเวลานี้สำหรับประเทศไทย ไม่ต่างจากภัยพิบัติแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เพียงไม่นาน ทำเอารัฐบาลไทยระส่ำระส่ายไปตามกัน เพราะมีปัญหาต่อแถวเข้ามาให้แก้ไม่หวาดไม่ไหว ทางด้านฝั่งนักวิชาการ นักวิเคราะห์ และสำนักข่าวมากมายก็ออกมาพูดถึงประเด็นนี้อย่างพร้อมเพรียงกัน
และจากเหตุการณ์นี้เอง ทำให้ประชาชนทั่วไปได้รับรู้ถึงข้อเท็จจริงทางการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ในหลากหลายประเด็นมากขึ้น หนึ่งในนั้นก็คือสินค้าส่งออก 5 อันดับแรกของไทยไปยังสหรัฐฯ ไม่ใช่สินค้าเกษตร หรือสินค้าที่เราเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง แต่มันกลับเป็นสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์และอุปกณ์อิเล็กทรอนิกส์ ยางรถยนต์ เซมิคอนดักเตอร์ และหม้อแปลงฟ้า ที่มีประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเท่านั้น และรายได้จากการส่งออกนี้ได้กินสัดส่วน 15-18% ของภาคการส่งออกทั้งหมดของไทยทีเดียว ซึ่งประเด็นนี้เอง น่าสนใจตรงที่ในเมื่อเราเป็นฐานการผลิตและส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์แล้ว เราก็ควรมีเทคโนโลยีที่จัดการขยะประเภทนี้ด้วยเลยดีไหม?
คุณวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ประธานสภาลมหายใจกรุงเทพฯ หรืออดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ในรายการ The Leader Insight ทาง YouTube Channel เมื่อวันที่ 6 เมษายนที่ผ่านมา ถึงแนวทางการรับมือภาษีทรัมป์ นี้ว่า ประเทศไทยควรใช้วิกฤตนี้ เป็นโอกาสในการเดินหน้าแก้ปัญหาทางสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กับรักษาเสถียรภาพทางการค้าควบคู่ไปด้วยกัน
“ไทยไม่ควรเอามิติทางการเมืองไปแลกกับสหรัฐ อย่าแก้ปัญหาด้วยการซื้ออาวุธ เพราะยิ่งซื้อก็ยิ่งพึ่งพา ของพวกนี้มันต้องซ่อมทำนุบำรุง เราต้องเอาเรื่องที่ยังไงก็ต้องเสียตังอยู่แล้วอย่างสิ่งแวดล้อม เข้าไปต่อรองกับสหรัฐฯ ผ่านการพึ่งพาเทคโนโลยี และองค์ความรู้ของเขา เพราะสหรัฐฯ มีเทคโนโลยีและนวัตกรรมการรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่พัฒนาไปไกลกว่าหลายประเทศแล้ว”
“แนวโน้มขยะอิเล็กทรอนิกส์ปัจจุบันมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามความต้องการของตลาด ตอนนี้อายุแบตเตอรี่โซลาร์เซลรุ่นแรกๆ ก็ทยอยหมดอายุกันแล้ว หากเราซื้อเทคโนโลยีนี้ เราก็สามารถเป็นศูนย์กลางในอาเซียนที่สามารถจัดการขยะเหล่านี้ได้ เพราะยังไงมันก็เป็นราคาที่ต้องยอมจ่าย ไม่มีใครอยากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปนเปื้อนมลพิษหรอก”
นอกจากนี้คุณวีระศักดิ์ ก็ได้เสนอแนวทางอื่นๆ เพิ่มเติมอีก เช่น เทคโนโลยีการจัดการบำบัดน้ำ, เทคโนโลยีซีเมนต์ zero carbon, เทคโนโลยีการทำฟาร์ม และการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เนื่องจากสหรัฐฯ ไม่มีการเผา ทั้งหมดนี้นอกจากจะช่วยให้การค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ยั่งยืนแล้ว ก็ยังเป็นการนำประเทศให้เข้าใกล้กับเป้าหมายด้านความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net zero emissions) ด้วยเช่นกัน
แต่ทั้งหมดนี้ ก็เป็นเพียงข้อเสนอเท่านั้น จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่อย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลไทยจะให้เรื่องไหนเป็นสำคัญ
ที่มา :