ยินดีต้อนรับเข้าสู่เว็บไซต์ วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ www.weerasak.org

เว็บไซต์วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ www.weerasak.org
มีความมุ่งมั่นเเละตั้งใจในการเผยแพร่เรื่องราวความรู้ความเข้าใจในการสร้างสรรค์สังคมด้วย การพัฒนาด้านเศรษฐกิจสังคมกฎหมายและการปกครอง เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนเพื่อลูกหลานรุ่นต่อ ๆ ไป
มองโลก มองความยั่งยืน
จบปริญญาโท กฎหมายสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด อดีตสมาชิกในบ้านพิษณุโลกมาตั้งแต่รัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ มีประสบการณ์พัฒนานโยบายสาธารณะมาต่อเนื่อง เป็นนักกฎหมายที่เชื่อมั่นในการพัฒนาที่ยั่งยืน
วีระศักดิ์ โควสุรัตน์
ผู้ที่มีความมุ่งมั่นเเละมีอุดมการณ์ในการสร้างสรรค์สังคมที่มีความเท่าเทียม การพัฒนาประเทศไทยให้มีความทันสมัย เจริญเติบโตควบคู่ไปกับการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อลูกหลานรุ่นต่อ ๆ ไป

ขยะทางแก้ที่ไม่เอาแต่แขยง ตอนที่ 3 ขยะอันตราย : กับปีโควิด 19

 

โดย วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา กรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ของวุฒิสภา
ในขยะทั่วไปของไทย สัดส่วนที่ใหญ่ที่สุดถึง 64 % เป็นขยะที่ย่อยสลายได้เพราะขยะไทยมักจะเป็นเศษอาหารและวัตถุดิบในครัว และจากใบไม้กิ่งไม้ เปลือกผลไม้ เศษข้าวเศษแกง
ส่วนขยะที่รีไซเคิลได้ จะมีปะปนอยู่ในกองขยะราว 30 % ได้แก่กล่องเครื่องดื่ม เศษพลาสติกแก้ว กระดาษ กระป๋อง เศษโลหะ ยางรถยนต์ (ซึ่งยางรถยนต์ใช้แล้วเมื่อนำไปผ่านการ deculvanization สลายพันธะของยางออกโดยไม่ต้องใช้เคมี แต่ใช้คาร์บอนไดออกไซด์เหลว ทำให้ยางเก่าหมดสภาพที่แข็งแห้งกลายร่างเป็นยางเหลวหยุ่นตัวจนสามารถนำไปขึ้นรูปทำประโยชน์ใหม่ได้)
รวมสองหมวดข้างต้นก็ 94 % ของขยะทั้งหมดไปแล้ว
การรีไซเคิล ทั้งสองหมวดข้างต้นจึงเป็นทางเลือกที่ควรส่งเสริมอย่างยิ่ง
ขยะที่ย่อยสลายได้ในหมวดแรกจึงเป็นส่วนสำคัญของการผลิตเป็นปุ๋ย ซึ่งยังไงๆ ก็มีเกษตรกรอยากได้ไปใช้ประโยชน์แน่
ส่วนขยะในหมวดที่สองก็ควรรีไซเคิลให้มากที่สุด
แล้วอีก 6 %ที่เหลือในกองขยะคืออะไร
อนุกรรมาธิการด้านสิ่งแวดล้อมของวุฒิสภา ซึ่งมี สว.บุญส่ง ไข่เกษ เป็นประธาน อธิบายไว้ว่า ขยะของไทย มีราว 3% เป็นขยะทั่วไปที่ไม่ย่อยสลาย แต่ก็ยังรีไซเคิลไม่ได้อย่างคุ้มค่า เพราะต้นทุนการจัดการจะสูง เช่นห่อพลาสติกใส่ขนม ถุงผงซักฟอก ห่อลูกอม ซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ถุงและพลาสติกถนอมอาหาร
แต่นับว่าคนไทยมีนวัตกรรมที่น่าสนใจหลายอย่างในช่วงที่ผ่านมา หลอดดูดที่ทำความสะอาดแล้วสามารถนำมาตัดเป็นชิ้นเล็กๆแล้วยัดแทนไส้หมอนใช้กับผู้ป่วยติดเตียงที่มีแผลกดทับ เพราะอากาศจะถ่ายเทได้ดี
พลาสติกถนอมอาหารที่ใช้แล้วสามารถนำมาหลอมแล้วผลิตเป็นรองเท้าบู้ทยางใช้ในห้องปฏิบัติการและห้องผ่าตัด
กล่องบรรจุเครื่องดื่มประเภท UHT สามารถล้างทำความสะอาดหย่อนใส่ถังที่ห้างสะดวกซื้อต่างๆ เพื่อส่งกลับไปให้มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่งภา ยามยาก เอาไปอัดเป็นหลังคาแบบลอนสำหรับบ้านชั่วคราวที่จัดให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วมใช้งาน เพราะเบาและกันฝนได้ดีแถมลดความร้อนจากแดดได้ดีกว่าหลังคาสังกะสีมาก
อีกอย่างที่กล่องยูเอชทีที่นำไปสกัดแยกเยื่อแล้วคือทำกรีนบอร์ด ซึ่งเหมือนทำไม้อัดแต่ทนทานกว่า ตัดเจาะหรือใช้เป็นผนังก็ได้ ใช้งานภายในภายนอกบ้านก็ได้ด้วย
ชุมชนบางแห่งใช้ซองกาแฟที่เป็นหลอดยาวแนวๆ ทรีอินวันมาถักจนเป็นตะกร้าบ้าง เป็นกระเป๋าบ้าง แม้จะไม่ใช่วิธีสำเร็จรูปในการขจัดขยะได้เป็นกองภูเขา แต่อย่างน้อยพลาสติกซองเล็กซองน้อยเหล่านี้ก็จะไม่ไปร่วงกระจายตามพงหญ้าที่ไหนล่ะ
ทีนี้มาดูจุดที่น่าห่วงจริง ๆ ใน 3 % ของขยะไทย นั่นคือ ของเสียอันตรายจากชุมชนนี่แหละครับ
ปีนึงๆ ไทยมีขยะที่เป็นซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าราว 4แสนตัน คิดเป็นเกินครึ่งของขยะหมวดนี้ คือราว 65 % ส่วนที่เหลืออีก 35 % คือกระป๋องสเปรย์สารเคมีและสี ถ่านไฟฉาย แบตเตอรี่รถยนต์ หลอดไฟฟ้า บรรจุภัณฑ์ของเคมี ตั้งแต่กาว ตัวทำละลาย สารทำความสะอาด น้ำกรด หรือด่างเข้มข้น สารปราบศัตรูพืช ตลับหมึกพิมพ์ น้ำมันหล่อลื่นใช้แล้ว ฯลฯ
เวลานี้ร่างพระราชบัญญัติ การจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (ที่ สนช. ทำคลอดออกมาไม่ทันก่อนการเลือกตั้งทั่วไปปี 2562) กำลังถูกตระเตรียมเสนอเข้ารัฐสภาให้ผ่านออกมาได้ทันใช้ช่วงสิ้นปี 2564 และแม้ผ่านออกมา กฏหมายนี้ก็จะครอบคลุมถึง 65 % แรกของขยะอันตรายนะครับ แต่ก็ยังดี เพราะแค่หมวดเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เราก็ยังดึงกลับมาทำลายให้ถูกวิธีได้ราว 1 % เท่านั้น (โดยแนวโน้มว่าร่างกฏหมายนี้จะเริ่มที่การกำหนดให้บวกค่ากำจัดซากเพิ่มเข้าไปในราคาซื้อตั้งแต่ต้นของสินค้าประเภท แอร์ ตู้เย็น เครื่องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ไร้สายและมือถือ และทีวี)
ส่วนอะไรที่ไม่ใช่เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก็ยังต้องสู้หาทางจัดการกันต่อไป
โดยรวมทั้งหมดของขยะอันตรายของไทยนั้น เราเพิ่งแยกมากำจัดให้ถูกวิธีได้เพียง 16 % ครับ
อีก 84 % ยังปะปนอยู่ในกองขยะและตามพื้นที่ลับตา อันนี้น่าห่วงมากครับ เพราะซึมรั่วลงดินได้ สลายตัวเข้าสู่ระบบแหล่งน้ำบนดินและใต้ดินได้แล้วในที่สุดก็จะเป็นพิษอันตรายร้ายแรง ซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ต่างจากซากเน่าของหมาแมว ผ้าอ้อมเด็กผ้าอ้อมผู้ใหญ่ และถุงขยะอืดบวมด้วยเครื่องแกงที่อาจดูน่าขยะแขยงสะอิดสะเอียน แต่เจ้าขยะอันตรายนี่น่ากลัวกว่าแยะ
ผมเก็บขยะมาหลายรูปแบบหลายสถานที่ จึงออกจะตกใจที่พายเรือเก็บได้พวกกระป๋องสเปรย์กำจัดแมลงสาป สีสเปรย์ผุเก่า ซองพลาสติกที่แกะแล้วของสารปราบศัตรูพืช ซึ่งรูปร่างมันอาจไม่น่าตกใจเมื่อเทียบกับเจอเฟอร์นิเจอร์ เบาะนอน หมอนเก่าๆลอยน้ำมา แต่สาระข้างในของมันคือสารพิษอันตรายกว่ามาก งานขยะจึงไม่พึงติดใจกับความแขยง แต่ต้องมีความรู้ มีการสังเกตเรียนรู้ เพื่อจะได้ย้อนคิดหาทางแก้ไขป้องกัน
ที่มา
-------------------------------------------------------------------------
วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา 
#weerasakorg