ยินดีต้อนรับเข้าสู่เว็บไซต์ วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ www.weerasak.org

เว็บไซต์วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ www.weerasak.org
มีความมุ่งมั่นเเละตั้งใจในการเผยแพร่เรื่องราวความรู้ความเข้าใจในการสร้างสรรค์สังคมด้วย การพัฒนาด้านเศรษฐกิจสังคมกฎหมายและการปกครอง เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนเพื่อลูกหลานรุ่นต่อ ๆ ไป
มองโลก มองความยั่งยืน
จบปริญญาโท กฎหมายสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด อดีตสมาชิกในบ้านพิษณุโลกมาตั้งแต่รัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ มีประสบการณ์พัฒนานโยบายสาธารณะมาต่อเนื่อง เป็นนักกฎหมายที่เชื่อมั่นในการพัฒนาที่ยั่งยืน
วีระศักดิ์ โควสุรัตน์
ผู้ที่มีความมุ่งมั่นเเละมีอุดมการณ์ในการสร้างสรรค์สังคมที่มีความเท่าเทียม การพัฒนาประเทศไทยให้มีความทันสมัย เจริญเติบโตควบคู่ไปกับการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อลูกหลานรุ่นต่อ ๆ ไป
น้ำตอน 4 แผนซ่อมโอนแหล่งน้ำให้ท้องถิ่น
โดย วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา 
กรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ของวุฒิสภา
 
แผนซ่อมโอนแหล่งน้ำให้ท้องถิ่น (Series น้ำ: ตอนที่4)
โดย วีระศักดิ์โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา กรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ของวุฒิสภา
ความคิดว่าจะถ่ายโอนแหล่งน้ำจากที่ดูแลโดยราชการส่วนกลางไปให้องค์กรส่วนท้องถิ่นดูแลนั้น เริ่มขึ้นราวปี 2543 คือสมัยรัฐบาลชวน2
การพยายามกระจายอำนาจต่างๆจากราชการส่วนกลางเกิดขึ้นเป็นระบบจากบรรยากาศการปฏิรูปการเมืองปี 2538 อันนำไปสู่การมีเรื่องนี้บรรจุในรัฐธรรมนูญ 2540
จึงทำให้มีแผนที่มีชื่อเป็นภาษาราชการตามมา แผนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2543
ซึ่งฝ่ายข้าราชการประจำนำแผนการนี้ไปผลิตอีกระดับ เรียกว่า แผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ฉบับ พ.ศ. 2545 ซึ่งแปลว่าเอกสารชิ้นนี้ล่วงมาถึงยุครัฐบาลทักษิณ1 แล้ว
กล่าวคือมีแผนการฯก่อน แล้วค่อยมีแผนปฏิบัติการฯตามเข้ามา
จากนั้นพอปี พ.ศ.2551 สมัยรัฐบาลสมัคร ก็มีการออกแผนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและตามด้วย แผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เรียกว่าเป็นฉบับที่2
จากนั้นไทยก็เผชิญน้ำท่วมใหญ่ มหาอุทกภัยปี2554
พอจบน้ำท่วม งานผลิตแผนฯ ฉบับที่3 ก็เดินต่อไป
ขณะนี้ร่างแผนการ ฉบับที่ 3 ซึ่งถูกร่างไว้เมื่อ2560 แต่กว่าที่จะสามารถได้รับมติเห็นชอบโดยบอรด์สภาพัฒน์ก็ล่วงมาอีก 2 ปี และบอร์ดให้ส่งบางประเด็นกลับไปทบทวนในอนุกรรมการ ซึ่งกว่าจะทบทวนในระดับอนุกรรมการเสร็จก็เมื่อ10 มีนาคม 2563 ปีนี้เอง คือช่วงโควิดอาละวาดพอดี นี่ก็จะสิ้นปี2563 แล้ว ดังนั้นเรื่องคงรอเดินไปจ่อเข้าครม.ได้แล้วล่ะ
ใช้เวลาเดินทางนานถึง 3ปี และหวังว่า
แผนปฏิบัติการฯ ที่จะออกมาจะคลอดให้ไวๆขึ้นได้
ระบบราชการนี่ขั้นตอนแยะจริงๆ .....
การรื้อระบบขั้นตอนพิจารณาและตั้งเวลาทำงานให้ระบบราชการจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่วนอะไรที่เป็นงานที่ไม่จำเป็นก็ควรหยิบออกจากโต้ะของระบบราชการ เพื่อเค้าจะได้มีเวลามาเร่งงานที่จะมีผลต่อการเปลี่ยนชีวิตของบ้านเมืองและประชาชนได้จริงมากขึ้น
และด้วยความสำคัญของระบบน้ำ ป่า การจัดระบบที่ดินและ ความซับซ้อนของกฏระเบียบแบบไทยๆ นี่เอง
คณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของวุฒิสภา ที่มีพลเอกสุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ เป็นประธาน มีพลเอกพลเอกจีระศักดิ์ ชมประสพ เป็นประธานอนุกรรมาธิการด้านทรัพยากรธรรมชาติทางบก จึงทำการศึกษาติดตามงานเรื่องน้ำทั้งระบบ ทำเรื่องระบบที่ป่าและที่ดินทำกิน โดยตามไปแคะแกะค้นมากางแผ่ดูกันว่ามีอะไร ติดที่ไหน และจะมีข้อแนะนำอะไรได้บ้าง
เผอิญผมเคยเป็นรองประธานกรรมาธิการแก้ไขปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ ของวุฒิสภามาครบหนึ่งปี ได้รับรู้ปูฐานปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำว่ามีหลายสาเหตุ แต่ที่เป็นเหตุใหญ่มากๆคือ ปัจจัยของที่ทำกิน ปัจจัยเรื่องน้ำ และปัจจัยด้านระเบียบราชการและข้อกฏหมายที่เป็นภาระแก่ทุกฝ่ายโดยไม่จำเป็น นี่แหละ ที่ทำให้ไทยติดอันดับสากลด้านความเหลื่อมล้ำไปโดยไม่ตั้งใจ
เมื่อรู้เหตุ ผมจึงย้ายข้ามมาร่วมกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติฯ ตามวิสัยทัศน์สหประชาชาติ 2030 ที่มุ่งเป้าการพัฒนาอย่างยั่งยืน ว่าสังคมโลกควร เน้นความรู้ฐานรากให้ดี 5 อย่าง คือ
People -planet- peace-public private partnership-แล้วก็เรื่อง prosperity
งานในกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติฯจึงเป็นเหมือนหลักสูตรปีที่สองของผมในวุฒิสภา...
กลับมาที่เรื่องระบบน้ำ ครับ
ในบทความซีรี่ย์ชุด"น้ำ"ที่ผมเขียนเผยแพร่ก่อนหน้านี้ 3ตอน พอจะสรุปได้ว่า
บทความตอนที่ 1 ชี้ว่า..
ไทยมีฝนแยะกว่าที่อื่นๆในโลก แต่หลังน้ำท่วมเราก็เจอภัยแล้งเรื่อย เพราะฝนไม่สามารถไหลไปรวมในที่กักเก็บเนื่องจากเราพัฒนาประเทศโดยไม่อ่านผังการไหลของน้ำมานานมากแล้ว ผลคือได้น้ำท่วม แถมท้ายด้วยแล้ง ซึ่งหลังบทความที่1เผยแพร่แล้ว ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2563 คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับการเวนคืนที่ดินมาสร้างถนนหรือขยายถนนทั่วไทยว่าทีนี้จะต้องคำนึงถึงการกีดขวางทางไหลของน้ำ และต้องคำนึงถึงการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฏีกาด้วย นับว่าเยี่ยมไปเลย
บทความตอนที่ 2 ชี้ว่า..
แม้มีน้ำในที่เก็บกัก แต่เราก็เวียนใช้น้ำซ้ำกันน้อยไป ไม่มีวัฒนธรรมการจัดลำดับเวลาให้คนท้ายน้ำรอใช้น้ำที่ผ่านทุ่งผ่านสวนของคนเหนือน้ำ แล้วทำเป็นทอดๆ ซึ่งจะทำให้ได้ผลผลิตกันทุกฝ่าย เพียงแต่ต้องใจกว้างสามัคคี มีลำดับการเข้าคิวปลูก พืชในไทยปกติปลูกเดือนไหนก็ได้ เป็นพืชเขตร้อนชื้น อุณหภูมิตลอดปีไม่ต่างมาก ขอแค่มีน้ำพอต่างหาก
บทความตอนที่ 3 ชี้ว่า..
แหล่งกักเก็บขนาดเล็กที่รับถ่ายโอนออกมาจากราชการส่วนกลางนั้น ผุกร่อนใช้งานไม่ได้ดีเป็นจำนวนมาก และควรซ่อมแซมกันยกใหญ่
บทความตอนนี้เป็นตอนที่ 4 เพื่อจะบอกเล่าว่า..
แผนปฏิบัติการถ่ายโอนแหล่งน้ำฉบับใหม่ที่กำลังจะออกมา มีข้อมูลสังเขปอะไรบ้าง
ก็ขอเรียนว่า รอบนี้คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กบถ.) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้มีแนวทางใหม่ๆเพิ่มครับ ว่า
แหล่งน้ำที่ส่วนกลางควรรับดูแลต่อไปคือแหล่งขนาดเกิน 1ล้านคิว และมีระบบส่งน้ำกินพื้นที่ 500ไร่ขึ้นไป หรือมีพื้นที่ครอบคลุมการจ่ายน้ำเกินหนึ่งจังหวัด ถ้าเป็นคลองส่งน้ำก็ควรยาวเกินเขตหนึ่งจังหวัด ส่วนถ้าบ่อบาดาลที่ต้องใช้ความรู้ทางอุทกธรณีวิทยาชั้นสูง เช่นเสี่ยงเรื่องชั้นน้ำเค็มแทรก พื้นที่หินแข็ง หรือพื้นที่เสี่ยงปนเปื้อน หรือในพื้นที่วิกฤตเช่นดินทรุด ก็จะให้รับผิดชอบโดยราชการส่วนกลางต่อไปก่อน
ส่วนแหล่งน้ำที่ไม่ใช่กรณีข้างต้นให้ทำการซ่อมแซมให้ดีก่อนถ่ายโอน ให้ส่วนท้องถิ่น และถ้าต้องมีเงื่อนไขเทคนิคประกอบในการบำรุงรักษา ก็ให้หน่วยราชการส่วนกลางกำหนดขีดความสามารถและสมรรถนะของท้องถิ่นที่จะรับโอนมา โดยแจ้งกบถ. เป็นรายกรณีด้วย
ส่วนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใดที่ไม่สามารถบริหารจัดการบำรุงรักษาหรือใช้งานแหล่งน้ำที่รับโอนมาก่อนหน้านี้ ให้สามารถขอการสนับสนุนช่วยเหลือจาก อบจ. แต่ถ้าเป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่ก็สามารถขอความช่วยเหลือจากส่วนราชการได้
นอกจากนี้ ยังให้ส่วนราชการวางมาตรฐานการเก็บค่าใช้น้ำจากผู้ใช้รายใหญ่ และผู้ใช้น้ำนอกภาคเกษตร รวมทั้งสนับสนุนให้ท้องถิ่นออกข้อบัญญัติท้องถิ่นเพื่อการดังกล่าวได้
ให้กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นตั้งงบเงินอุดหนุนด้านแหล่งน้ำ และให้ส่วนราชการที่ถ่ายโอนมีหน้าที่ทำแผนพัฒนาแล้วให้ท้องถิ่นเป็นหน่วยงานตั้งคำของบประมาณ ไม่ใช่ต่างฝ่ายต่างไปหรือแย่งกันยื่นงบ
ให้ส่วนราชการติดตามผลหลังถ่ายโอน หากเจอปัญหาให้เข้าไปตามช่วยแก้ไข และเมื่อซ่อมแซมทั้งระบบแล้วเสร็จก็ให้ส่งมอบท้องถิ่นโดยเสนอ กกถ.ให้ความเห็นชอบเป็นรายกรณี
ทั้งนี้ยังได้กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทำแผนพัฒนาแหล่งน้ำให้เพียงพอตามอัตราคำนวณ โดยถ้าจัดหาน้ำกินน้ำใช้ครัวเรือนทั่วไปให้คิดว่าต้องจัดหามาให้หัวละ 100 ลิตรทุกวัน /ปี หรือ 36.5 คิว /คน /ปี
ถ้าจัดหาน้ำเพื่อการเกษตร ให้คำนวณ ว่าต้องใช้ที่1คิว/ไร่/ปี
สิ่งที่ยังจะต้องตามศึกษาต่อคือ เมื่อมีแหล่งน้ำที่ทำงานได้ ตานี้ก็จะมาว่าเรื่องการส่ง การกระจายน้ำและการเชื่อมทางน้ำและแหล่งน้ำ ซึ่งถ้าเป็นการไปขุดในที่ดินรัฐก็คงพอมีกติกาแล้ว แต่ที่ยังมีอุปสรรคคือพื้นที่ทางผ่านจำนวนมากอยู่บนที่ดินราษฏร ที่ดินเอกชน และมักไม่ค่อยได้รับความยินยอมเพราะราษฏรยังไม่อยากให้ความร่วมมือ จะเวนคืนก็กระทบต่อขนาดที่ชิ้นสุดท้ายที่จะใช้ทำกินต่อ รวมทั้งเมื่อทางน้ำผ่านที่เอกชนแล้ว เอกชนจะมีสิทธิดึงน้ำข้างที่ดินที่เหลือของตนไปใช้อย่างเป็นธรรมได้อย่างไร หรือจะส่งน้ำระบบท่อกันเหมือนท่อส่งก๊าซ อันนี้ท้าทาย
นี่แหละครับ ผมถึงได้พยายามสกัดข้อมูลจากคณะกรรมาธิการของวุฒิสภามาบอกเล่าต่อให้สังคมได้ร่วมรับรู้ เรารู้มานานแล้วว่าน้ำสำคัญแน่ แต่เรามักไม่ค่อยรู้ว่าหน่วยไหน คณะกรรมการอะไรที่เกี่ยวบ้าง กติกาเก่าเขาทำมายังไง และกติกาใหม่ๆกำลังไปในทิศทางใด เมื่อสังคมรู้ สังคมจะได้ช่วยวิเคราะห์สนับสนุนให้การจัดการทรัพยากรน้ำทำได้ดีขึ้นมากๆ และสามารถช่วยแก้ความยากจนลดความเหลื่อมล้ำ ได้จริงจัง
 
-------------------------------------------------------------------------
วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา 
-------------------------------------------------------------------------