ยินดีต้อนรับเข้าสู่เว็บไซต์ วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ www.weerasak.org

เว็บไซต์วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ www.weerasak.org
มีความมุ่งมั่นเเละตั้งใจในการเผยแพร่เรื่องราวความรู้ความเข้าใจในการสร้างสรรค์สังคมด้วย การพัฒนาด้านเศรษฐกิจสังคมกฎหมายและการปกครอง เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนเพื่อลูกหลานรุ่นต่อ ๆ ไป
มองโลก มองความยั่งยืน
จบปริญญาโท กฎหมายสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด อดีตสมาชิกในบ้านพิษณุโลกมาตั้งแต่รัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ มีประสบการณ์พัฒนานโยบายสาธารณะมาต่อเนื่อง เป็นนักกฎหมายที่เชื่อมั่นในการพัฒนาที่ยั่งยืน
วีระศักดิ์ โควสุรัตน์
ผู้ที่มีความมุ่งมั่นเเละมีอุดมการณ์ในการสร้างสรรค์สังคมที่มีความเท่าเทียม การพัฒนาประเทศไทยให้มีความทันสมัย เจริญเติบโตควบคู่ไปกับการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อลูกหลานรุ่นต่อ ๆ ไป

ปฏิรูปกฎหมาย (ตอนที่ 3)

 

 

โดย วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา กรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ของวุฒิสภา
ในฐานะที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้วุฒิสภาติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดการปฏิรูปประเทศไทย ภาษาคำย่อ บอกว่าวุฒิสภาต้องทำหน้าที่ ตสร. (ติดตาม~เสนอแนะ~เร่งรัด)การปฏิรูปประเทศ ตามมาตรา 270 ของรัฐธรรมนูญ 
ในฐานะนักกฏหมาย ผมเคยอภิปรายเรื่องการเร่งยกเลิกกฏหมายล้าสมัยและหรือที่ขาดไร้การบังคับใช้ในที่ประชุมวุฒิสภาหลายหน เพราะเคยมีโอกาสทำงานอย่างนี้มาก่อนในสมัยที่ผมเคยเป็น กรรมการพัฒนากฏหมายที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และในฐานะคนเขียนบทความเสนอนโยบายสาธารณะบ่อยๆ ผมเคยเขียนเอาไว้ในบทความหลายหนว่า หนึ่งในเรื่องน่าทำมากที่สุดในช่วงโควิด19คือการล้างท่อ ขัดตะกรันตามคอขวดในระบบราชการนี่แหละครับ
ทุกวันนี้ เรือลำเลียงสินค้าทางทะเลที่จะเอาสินค้าขึ้นท่า ต้องรอการอนุญาตจากกรมเจ้าท่าก่อน อันนี้พอเข้าใจ เพราะคนที่บริการขนส่งทางเรือสามารถเตรียมการล่วงหน้าทางเอกสารได้ ตั้งแต่ก่อนออกเดินทาง หรือระหว่างเดินทางอยู่ก็ยังพอได้ แต่ถ้าไปใกล้ท่าเรือปลายทางแล้ว แต่มีเหตุที่ไม่สามารถเข้าเทียบท่าที่ขออนุญาตไว้ ซึ่งไม่ใช่ความผิดของฝ่ายเรือ เช่นท่าเรือเต็ม มีเรืออื่นไม่ยอมออกจากท่าเพราะยังขนถ่ายไม่เสร็จ เรือสินค้าลำนี้จะต้องลอยลำรอจนกว่าทางการจะอนุญาตให้เปลี่ยนท่าเข้าเทียบจอดเพื่อลำเลียงสินค้าลงจากเรือได้ 
ในทางปฏิบัติจริง เรือสินค้าไม่สามารถลอยลำรอในทะเลได้นานนักเพราะเรือเหล่านี้มีคิวต้องส่งสินค้าลงและต้องแล่นไปรับสินค้าจากที่หมายใหม่ ตามที่ทำสัญญาขนส่งไว้ ถ้าเรือผิดเวลาก็จะโดนเล่นงานฐานผิดสัญญา เรือก็คล้ายเครื่องบิน บินไปแล้วมีเหตุที่ต้องเปลี่ยนสนามบินลงจอด จะเพื่อหลบพายุหรือเพราะน้ำมันเหลือน้อย การขออนุญาตก็อาศัยการวิทยุสื่อสาร เรื่องค่าแลนดิ้งกระแทกรันเวย์ ค่าหลุมจอด ค่าพนักงานภาคพื้นดินที่จะมาช่วยโบกช่วยเดินบันไดเทียบข้าง เดี๋ยวค่อยมาว่ากันทีหลัง ส่งบิลไปตามเก็บกันได้ แต่พอมาใช้กับเรือขนส่งสินค้าไม่ยักได้แฮะ
อย่างไรก็ดี กัปตันเรือสินค้ามักจะนำเรือเข้าจอดที่ท่าแห่งใหม่ที่พอจะหาได้แล้วแจ้งเอกสารต่อทางการเพื่อขออนุญาตตามหลังอีกทีซึ่งตามกฏหมาย วิธีนี้จะเป็นความผิดของเรือสินค้า ทั้งที่การที่ท่าเทียบเรือให้เรือเข้าเทียบไม่ได้ไม่มีสาเหตุมาจากเรือลำที่ว่าเครนยกของของท่าเรืออาจจะเพิ่งเสียหายจากเรืออื่นชนจึงปิดซ่อมหรือน้ำลงจนสันดอนทรายตื้นเขินเกินกว่าจะรับเรือใหญ่เข้าไปเทียบได้ตามปกติ ถ้าเรามีกฏระเบียบให้เรือแจ้งทางการทราบเฉยๆ หรือขออนุญาตทางวิทยุสื่อสาร มีบันทึกเสียงกรือจะให้ส่งข้อความอิเล็กทรอนิกส์ก็ตามเมื่อต้องเปลี่ยนท่าเทียบ คือไม่ต้องถึงยื่นหนังสือ จะเพียงพอได้ไหม 
ผลคือทางการก็ยังได้ข้อมูลและควบคุมการเลือกท่าจอดได้อยู่ และท่าที่จะให้เทียบได้ก็ย่อมสามารถกำหนดให้เลือกเข้าเทียบได้เฉพาะตามที่ทางการจะกำหนดไว้คือเป็นลิสต์ A ก็พอไหม ในต่างประเทศที่เค้าทำเมืองท่าได้มีประสิทธิภาพสูงๆ เค้ามีกติกาที่เอื้อให้ระบบโลจิสติกคล่องตัวอย่างไร เราน่าจะเทียบเคียงดูไทยพึ่งพาการส่งออกมานาน เราเองยังต้องมีทั้งการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อผลิตสินค้ามูลค่าเพิ่มอีกแยะ แถมเรากำลังมีรถไฟทางคู่และรถไฟไทยจีนซึ่งก็แน่ชัดว่าจะเปิดบริการในอีกไม่กี่ปีแล้วและจะมุ่งเชื่อมเมืองท่าต่าง ๆ เรายิ่งควรสังคายนากฏระเบียบให้ไม่เป็นอุปสรรคที่ไม่จำเป็น
ทีนี้มองไปที่ ธุรกิจ สปา ในไทยบ้างธุรกิจสปาต้องขอต่อใบอนุญาตใหม่ทุก 5 ปี นัยว่าจะได้มีเจ้าหน้าที่ไปตรวจสถานที่ให้ปลอดภัยไร้เชื้อกระมัง คำถามคือแล้วทางการมีเจ้าหน้าไปตรวจก่อนต่อใบอนุญาตได้เร็วเพียงใด หรือตรวจแล้วไม่ต่อใบอนุญาตให้เยอะเลยหรือเปล่า ถ้าตรวจแล้วส่วนมากก็ผ่าน เราจะให้ใบอนุญาตมีอายุนานแค่ไหน จึงจะพอเหมาะ กฏระเบียบบอกด้วยว่าเจ้าของร้านสปาต้องยื่นแจ้งเลิกสปาต่อทางการด้วย ถ้าจะเลิกกิจการในช่วงโควิดจึงมีคนคิดถามเหมือนกันว่า ถ้าร้านสปาหยุดบริการไปนาน แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะกลับมาเปิดใหม่หรือไม่ เจ้าของร้านต้องทำยังไง การกำหนดในกฏหมายว่าถ้าเลิกกิจการต้องมาแจ้งทางการนั้น เป็นภาระที่รัฐสร้างต่อผู้เปิดร้านเกินจำเป็นมั้ย หรือจะให้แจ้งทางออนไลน์แจ้งด้วยไปรษณียบัตรเฉยๆจะเพียงพอหรือเปล่า จะว่าไปแล้วก็ยังไม่ค่อยมีสปาที่ไหนเลิกเพราะไม่ขาดทุน แล้วจะเพิ่มภาระให้ต้องมาแจ้งต่อทางการอีก มันก็น่าจะลดราวาศอกได้นี่นะแล้วถ้ายังไม่เลิกกิจการแต่ยังไม่มีปัญญาจะเปิดอีกเพราะลูกค้ามีน้อยมากล่ะ หรือเจ้าของทะเลาะกับพนักงานนวด จนมีสไตรค์กัน จะหามือนวดใหม่มาก็ไม่มีในช่วงนั้น เลยจำใจต้องหยุดเปิดบริการไปนานโข รัฐจะถือว่าเลิกโดยไม่มาจดแจ้งตามกฏหมายอีกหรือเปล่า
อีกเรื่องที่ร้านสปาแบกภาระอยู่เพราะกฏหมาย คือเรื่อง การกำหนดให้มีการแจ้งขึ้นทะเบียนหมอนวดคือผู้ให้บริการการนวดในร้านทุกคน ต่อทางการแต่ในทางปฏิบัติ พนักงานผู้ให้บริการนวดมักจะย้ายที่ทำงานจากร้านหนึ่งไปอีกร้านในย่านใหม่ที่มีลูกค้ามากกว่าเป็นปกติของคนจะทำมาหาเลี้ยงครอบครัวการที่ทางการอยากรู้ว่าคนที่กำลังทำงานนวดให้ลูกค้าเป็นคนที่ทางการรับรองหรือไม่จึงน่าจะเปลี่ยนไปกำหนดให้สถานศึกษาอบรมที่สร้างหมอนวดทำหน้าที่ครั้งเดียวตอนอบรมจบกล่าวคือให้ครูผู้สอนจนจบนั่นแหละที่จะส่งรายชื่อผู้สำเร็จการศึกษาอบรมให้ทางการรับรู้ตั้งแต่แรกเพียงหนเดียวก็พอ ลดภาระแก่ทุกฝ่าย ไม่มีใครต่อใครต้องส่งชื่อส่งหลักฐานสารพัดทุกหนที่หมอนวดย้ายร้าน ลดภาระทางเอกสารให้ทั้งราชการและผู้ยื่น

 
หากจะให้หยิบยกอีกสักตัวอย่าง ลองดูที่การยื่นขอใช้ไฟฟ้าหรือประปาสังเกตไหมครับว่า ค่าการขอมิเตอร์ชั่วคราวของประชาชนมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการยื่นขอใช้ไฟฟ้าหรือประปาแบบถาวรซึ่งพอเข้าใจได้ เพราะถือว่าทางการต้องมาให้บริการแล้วสักพักก็ต้องมาถอดถอนระบบไฟระบบประปากลับไป เพราะขอชั่วคราวนี่ส่วนการขอใช้ไฟฟ้าประปาแบบถาวรจะทำได้ก็ต่อเมื่อ ผู้ยื่นมีเลขที่บ้านแล้ว อันนี้ฟังดูเหมือนง่าย ๆ แต่การจะมีเลขที่บ้านได้นั้น ทางการตั้งหลักว่าจะพิจารณาออกให้ก็ต่อเมื่อการก่อสร้างอาคารบ้านพัก''เสร็จ'' แล้วเท่านั้น
ดังนั้น ถ้าหากทางการจะลดเงื่อนไขลงมา เหลือแค่ว่าได้ยื่นแบบก่อสร้างและได้รับอนุญาตแบบเรียบร้อย การก่อสร้างเดินไปถึงขนาดที่ดูว่านี่ไม่ใช่การจะเคลื่อนฐานรากกันไปได้ง่ายๆแล้ว ทางการตรวจแล้วไม่เป็นการสร้างรุกที่ดินรัฐ รุกล้ำที่ข้างเคียงก็ออกเลขที่บ้านให้ไป น่าจะดีกว่ามั้ย เช่น ตอกเข็มครบแล้ว หรือขึ้นโครงอาคารถึงจุดที่จะเป็นดาดฟ้าหรือเป็นหลังคากันสำเร็จ ก็พอเค้าจะได้ไปยื่นขอใช้ไฟฟ้า ขอใช้น้ำแบบถาวร ไม่ต้องเทียวไล้เทียวขื่อ เตรียมเอกสาร และกรอกแล้วกรอกอีกอยู่หลายรอบ คือต้องไปยื่นขอเลิกใช้ไฟฟ้าชั่วคราวทีนึง แล้วยื่นเอกสารพร้อมหลักฐานประกอบตอนขอใช้ไฟฟ้าถาวรอีกชุด แต่จะให้ดี ถ้าทำให้ลดขั้นตอนยิ่งกว่านี้ได้ ก็ยิ่งดี อันนี้จะช่วยลดภาระแก่ประชาชนผู้ใช้บริการ ซึ่งกำลังลงทุนทำอาคารจะเป็นลูกค้าของรัฐในการใช้น้ำใช้ไฟไม่ใช่หรือ
ทีนี้ไปดูเรื่องชาวต่างชาติเดินทางมาไทยบ้าง แบบกระดาษกรอกข้อทูลคนเดินทางหรือใบตม. 6 ได้ถูกกำหนดให้เลิกใช้กับผู้โดยสารชาวไทยบนเครื่องบินและเรือโดยสารระหว่างประเทศไปแล้ว แต่ยังกำหนดให้ผู้โดยสารต่างประเทศต้องกรอกใบตม.6ยื่นให้ตม.ที่สนามบินหรือด่านนั้น ทางการไทยพอจะมีแผนให้ใช้การสแกนเก็บข้อมูลจากหนังสือเดินทางของผู้โดยสารต่างชาติเฉยๆจะพอไหม ลดเวลาให้ทั้งคนกรอก คนอ่าน และการเก็บกระดาษใบตม. 6
เพราะที่ให้กรอกไปทั้งหลายนั้นมันคือข้อมูลที่ส่วนใหญ่มีในหนังสือเดินทางกับตราประทับวีซ่าแล้วทั้งนั้น เหลือแค่ว่ายังไม่รู้ว่าชาวต่างชาติที่เข้ามาคนนั้นจะไปนอนที่ไหน ส่วนที่ไปถามเค้าว่าเค้ามาทำไม มีรายได้สักเท่าไหร่ ถึงเค้าตอบอะไรมาเราก็คงไม่มีเวลาไปพิสูจน์กระมัง
นอกจากเอาคำตอบมาประมวลเป็นสถิติไว้แถลง เวียดนาม มาเลเซียเค้าก็เลิกระบบนี้ไปนานพอควรแล้ว ในใบตม. 6 ช่องกรอกที่พักที่อยู่ที่ให้ชาวต่างชาติกรอกรายละเอียดนั้น เอาเข้าจริงคนต่างชาติที่เข้ามาเมืองไทยนั้น อาจพักแรมตามแหล่งท่องเที่ยวแค่คืนละจุดอยู่ดี ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะกรอกล่วงหน้าได้มากไปกว่าว่าเขาจะพักแรมที่ไหนในคืนแรก และส่วนมากไม่รู้บ้านเลขที่และถนนที่ชัดๆ อยู่ดี เรามีกฏหมายที่กำหนดให้ผู้ให้ที่พักแรมแก่คนต่างด้าวต้องแจ้งการเข้าพักของคนต่างด้าวต่อทางการทั้งต่อตม.ในพื้นที่และต่อฝ่ายปกครองคือนายอำเภอในท้องที่ตามกฏหมายพรบ.คนเข้าเมืองอยู่แล้ว รวมทั้งในกฏหมายโรงแรมก็มีสั่งไว้ การให้กรอกแล้วกรอกอีก ในข้อมูลเดิม ๆ จึงดูจะเป็นการเมินการใช้เทคโนโลยีไปหน่อย และในหลายกรณีก็อาจมองได้ว่าเป็นการไม่สื่อสารแชร์ข้อมูลกันเองระหว่างหน่วยงานภายในได้เสียอีก
ถ้าผู้ให้ที่พักแรมแก่คนต่างด้าวแจ้งข้อมูลต่อตม.ในพื้นที่เฉยๆก็น่าจะพอแล้ว เพราะนายอำเภอกับตม.ควรจะแชร์ข้อมูลกันเองในระดับพื้นที่ได้
แต่เพราะกฏหมายเขียนว่า''และ'' เลยควรต้องพิจารณาแก้ที่ถ้อยคำในกฏหมาย รวมทั้งต้องทำให้ทางปฏิบัติไปได้ และมีประสิทธิภาพที่รัฐก็ควรได้ คนเดินทางก็ควรสะดวก เจ้าสำนักโรงแรมหอพักอพาร์ตเมนต์ก็ไม่มีภาระด้านเอกสารเกินจำเป็น รายงานการศึกษาของ TDRI ล่าสุดครอบคลุมเรื่องข้างต้นเหล่านี้แหละครับ ผมหยิบรายงานย่อมาอ่านแล้วเห็นว่าดีงามเป็นประโยชน์ที่สังคมน่าจะได้ร่วมรู้ จึงนำมาเล่าย่อๆในบทความตอนที่ 3 นี้
ทีมทำวิจัยศึกษาเรื่องนี้คือ ดร.ดวงเด่น เด่นดวงบริรักษ์ และคณะ ได้ร่วมทำงานกับ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จนคณะวิจัยสามารถนำข้อมูลเสนอต่อทางการได้เมื่อปลายปี 2562 ก่อนโควิด 19 จะปรากฏตัวขึ้นมาแผลบเดียว แต่ดร.เดือนเด่น ก็มีอันต้องประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปอย่างน่าเสียดาย ก่อนจะได้มีโอกาสเห็นผลของงานวิจัยชิ้นสำคัญนี้เดินไปถึงจุดเปลี่ยนด้วยตนเอง งานชิ้นนี้เป็นเสมือนเครื่องมือปลดพันธนาการชุดใหญ่ให้แก่กฏหมายและระเบียบต่างๆในราชการไทย ให้สมเหตุสมผลขึ้น แบกกันเบาลง ทั้งแก่บ่าของประชาชน และบ่าของข้าราชการ 
ขอคาราวะดร.เดือนเด่นและคณะของ TDRI ที่ได้แจกแจง และชี้เป้าบรรดาคอขวดเพื่อจัดการกับกฏระเบียบที่ควรจะ
Cut (ยกเลิก)
Change (เปลี่ยนแปลง)
Combine (รวมเข้าด้วยกันไม่ให้ซ้ำซ้อน)
Create (สร้างกติกาใหม่ที่ดีกว่า เป็นธรรมกว่า มีประสิทธิภาพกว่า)
Continue (ถ้ายังเหมาะสมก็ให้คงอยู่ต่อไปได้)

# ท่านที่สนใจอ่านสรุปของรายงานนี้ได้ทางออนไลน์ 20 หน้า
หรือที่ https://tdri.or.th/wp-content/uploads/2021/04/wb175.pdf
-------------------------------------------------------------------------
-------------------------------------------------------------------------