ยินดีต้อนรับเข้าสู่เว็บไซต์ วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ www.weerasak.org

เว็บไซต์วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ www.weerasak.org
มีความมุ่งมั่นเเละตั้งใจในการเผยแพร่เรื่องราวความรู้ความเข้าใจในการสร้างสรรค์สังคมด้วย การพัฒนาด้านเศรษฐกิจสังคมกฎหมายและการปกครอง เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนเพื่อลูกหลานรุ่นต่อ ๆ ไป
มองโลก มองความยั่งยืน
จบปริญญาโท กฎหมายสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด อดีตสมาชิกในบ้านพิษณุโลกมาตั้งแต่รัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ มีประสบการณ์พัฒนานโยบายสาธารณะมาต่อเนื่อง เป็นนักกฎหมายที่เชื่อมั่นในการพัฒนาที่ยั่งยืน
วีระศักดิ์ โควสุรัตน์
ผู้ที่มีความมุ่งมั่นเเละมีอุดมการณ์ในการสร้างสรรค์สังคมที่มีความเท่าเทียม การพัฒนาประเทศไทยให้มีความทันสมัย เจริญเติบโตควบคู่ไปกับการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อลูกหลานรุ่นต่อ ๆ ไป

การเมืองดีลได้ สิ่งแวดล้อมดีลใคร? วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ‘มนุษย์กับระบบนิเวศต่อรองกันไม่ได้’

อ่านบทสัมภาษณ์แบบเต็มๆ ที่ https://www.matichon.co.th/prachachuen/news_5375005

22 ก.ย. 68 “มนุษย์ต่อมนุษย์คุยกันได้ แต่มนุษย์กับระบบนิเวศต่อรองกับใครไม่ได้ มันถึงเวลาจะพัง ก็พัง แมลงปอหายไป ผึ้งหายไป สัตว์ผสมเกสรหายไป ไม่รู้จะไปต่อรองกับใคร การขาดสะบั้นลงของความเชื่อมโยงระบบนิเวศที่เรียกว่าความหลากหลายทางชีวภาพคือตัวที่อันตรายที่สุด ไม่มีใครเข้าใจเรื่องนี้ จนกระทั่งโควิด-19 เข้ามาเป็นจุดเปลี่ยน มันทำให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยว และสารพัดกิจการล้มครืนไปเฉยๆ”

ไม่ใช่คำกล่าวของนักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมคนใด หากแต่เป็นส่วนหนึ่งของบทสนทนาจากอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นามว่า วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ผู้เคยสร้างผลงานมากมายในยุคที่ทัวริสต์บินมาแลนดิ้ง ณ ราชอาณาจักรไทยแตะ 40 ล้านคน เกินครึ่งของจำนวนประชากรในประเทศ

ทว่า เจ้าตัวย้ำชัดว่า สิ่งสำคัญคือคุณภาพอันนำมาซึ่งมูลค่า ไม่ใช่จำนวนหัว เพราะตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เข้ามาร่วมใช้ทรัพยากร ย่อมส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไม่อาจปฏิเสธ

ตัดภาพมาในวันนี้ วีระศักดิ์ปรากฏตัวบนเวทีมากมาย แน่นอนว่าหาใช่เพื่อไฮด์ปาร์กปราศรัย หากแต่มุ่งหวังสร้างแรงบันดาลใจในบทบาทใหม่ที่เปรียบเหมือน ‘ไลฟ์โค้ชสิ่งแวดล้อม’ กิตติมศักดิ์ เดินสายสร้างความเข้าใจยังหน่วยงาน สถาบันการศึกษา และอื่นๆ อีกมากมาย

ด้วยโปรไฟล์นักวิชาการด้านกฎหมายเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางทั้งในและต่างประเทศ ด้วยศักยภาพนักคิดของเด็กสายศิลป์ ที่หันมา ‘อิน’ กับวิทยาศาสตร์

ด้วยประสบการณ์ในตำแหน่งสำคัญทางการเมืองหลากหลาย รัฐมนตรีก็เป็นมาแล้ว สมาชิกวุฒิสภาก็นั่งมาแล้ว กรรมาธิการมากมายก็ร่วมวงมาแล้ว

ข้อมูล เนื้อหา บทวิเคราะห์จึงเข้มข้นบนพื้นฐานของข้อเท็จจริงที่น่าสนใจและชวนให้ตื่นตระหนกตกใจไปพร้อมๆ กัน แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั้น การ ‘ตื่นรู้’ คือสิ่งที่อยากเห็น

วันนี้ วีระศักดิ์จึงเดินหน้าสื่อสารสังคมผ่านช่องทางต่างๆ ไม่เพียงบนเวทีที่มีสปอตไลต์ แต่ยังรวมถึงเว็บไซต์ที่ใช้ชื่อนามสกุลจริง วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ www.weerasak.org และเฟซบุ๊กแฟนเพจที่ระบุโปรไฟล์ (ประธาน) สภาลมหายใจกรุงเทพมหานคร อันเป็นหนึ่งในตัวอย่างของการขับเคลื่อนงานของภาคพลเมืองและภาคประชาสังคม

เห็นพ้องการแก้วิกฤตฝุ่นใหม่ 8 : 3 : 1 คือ วางแผน 8 เดือนล่วงหน้า รับมือ 3 เดือนช่วงเผชิญสถานการณ์ฝุ่น และ 1 เดือนถอดบทเรียน ระหว่างรอ ‘พ.ร.บ.อากาศสะอาด’ หรือ ‘ร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. …’ ซึ่งเปิดรับฟังความคิดเห็นประชาชนไปเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมถึงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
.
ประกอบด้วยสาระสำคัญทั้งหมด 10 หมวด ครอบคลุมทั้งสิทธิ หน่วยงาน เครื่องมือ-กลไก-มาตรการในการบริหารและทางเศรษฐศาสตร์ การป้องกันจากแหล่งกำเนิดประเภทต่างๆ กองทุนอากาศสะอาด และบทลงโทษ
.
ล่าสุด ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติบรรจุร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาในวาระที่ 2 หมาดๆ ชวนให้จับตา ร่วมลุ้นถึงฝันเป็นจริงที่เขยิบใกล้เข้ามาทุกที
.
“พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ทำให้เห็นว่าการเลือกตั้ง ใช้ความสะอาดมาเป็นแคมเปญได้ และชนะการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ส่วนการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ครั้งล่าสุด ผู้สมัครทั้งที่สังกัดพรรคและไม่สังกัดพรรค ล้วนแล้วแต่ต้องยอมหาเสียงเรื่องฟุตปาธ ซึ่งเป็นมิติด้านสังคม”
.
ประธานสภาลมหายใจกรุงเทพมหานคร ย้อนมองยุทธศาสตร์หาเสียงพ่อเมืองกรุงเทพฯ ต่างยุคสมัย ในห้วงเวลาที่ประเด็นสิ่งแวดล้อม ความสะอาด จนถึงการจัดระเบียบทางเท้าถูกชูขึ้นอย่างโดดเด่นไม่แพ้โปรเจ็กต์ยักษ์ในบางยุค
.
ท่ามกลาง ‘ดีล’ ลึก ดีลลับ และไม่ลับ มากมายในสมรภูมิการเมืองไทย
.
วีระศักดิ์ยืนยันว่า สิ่งแวดล้อมดีลไม่ได้ แม้นโยบายต่างๆ ของภาครัฐเกี่ยวพันกับการเมือง ทว่า ปัญหาที่ยิ่งใหญ่ไปกว่านั้น ไม่ว่าใครก็ไม่อาจต่อรองได้ แม้กระทั่งประเทศมหาอำนาจ

“การเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจการค้า ทุกอย่างเป็น negotiable คือต่อรองได้ ขอแค่รู้เถอะว่าต้องไปคุยกับใคร คุณมีอะไรไปแลกกับเขาหรือยัง

มนุษย์ต่อมนุษย์คุยกันได้ แต่มนุษย์กับระบบนิเวศต่อรองกับใครไม่ได้ มันถึงเวลาจะพัง ก็พัง แมลงปอหายไป ผึ้งหายไป สัตว์ผสมเกสรหายไป ไม่รู้จะไปต่อรองกับใคร”

ขีดเส้นใต้อีกครั้ง ดังที่กล่าวมาแล้วในบรรทัดแรกของบทสัมภาษณ์
.
บรรทัดจากนี้ ไม่ใช่คำถาม-คำตอบ หากแต่ร้อยเรียงจากถ้อยคำที่พรั่งพรู พร้อมแววตามุ่งมั่นสื่อสารต่อสังคม ในประเด็นสิ่งแวดล้อมรอบกายที่ไม่ไกลตัวอีกต่อไป
.
ความหลากหลายชีวภาพขาดสะบั้น สิ่งที่ ‘มหาอำนาจ’ ยังผวา 3 ก้อน 4 คลื่น ปลุกมนุษย์ตื่น
.
ฝุ่นเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้การผลักดันและตื่นตัวของภาคประชาสังคมเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและกว้างขวาง สมัยก่อนเวลาพูดถึงเรื่องนโยบายสิ่งแวดล้อมจะมีแค่ 2 เรื่อง 1.รักษาป่าไม้ ลำน้ำ 2.การเกิดมลภาวะ
.
ทั้งสองเรื่องนี้ถ้าคุณไม่ได้เป็นคนอยู่ใกล้น้ำ เป็นคนอยู่ป่า จะรู้สึกว่าไม่ค่อยเกี่ยวกัน เชียร์ให้คนอื่นทำ แต่ตัวเองไม่ได้ทำอะไร สำหรับเรื่องมลพิษส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องแหล่งกำเนิด ซึ่งถูกมองว่าห่างตัว
.
แม้แต่ขยะก็ยังรู้สึกว่าไม่ค่อยใกล้ตัวเท่าไหร่ อะไรที่มันพ้นจากหน้าบ้านตัวเองก็ไม่ต้องสนใจ แต่ในช่วง 10 ปีมานี้ 3 เรื่องของสิ่งแวดล้อมมันได้ขยายตัวและเชื่อมแตะกันเป็น 3 วง ซึ่งในภาษาอังกฤษเรียกว่า Triple Planetary crisis
.
ก้อนที่หนึ่ง คือเรื่องมลพิษ มลภาวะที่มากับอากาศ ซึ่งโดนกันถ้วนหน้า คุณอยู่ที่ไหนมันก็มาถึง และเป็นตัวใหญ่กว่าที่เราเคยรู้จักมา 30-40 ปี ไม่เฉพาะเรื่องฝุ่นแต่รวมถึงขยะด้วย ภูเขาขยะเป็นของแปลกในอดีต แต่ปัจจุบันกลายเป็นเรื่องที่เจอแทบทุกเทศบาลนคร
.
ก้อนที่สอง เรื่อง Climate Change (การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ) คนอาจจะยังไม่รู้สึกมาก กระทั่งความร้อนมันสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นข่าว แม้จะมี Paris Agreement (ความตกลงปารีส-ความตกลงตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ) เราก็ไม่สนใจ จนกระทั่งมาถึงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งรู้สึกว่าต้องมีกฎหมายเรื่องนี้เหมือนกัน พยายามทำเรื่องก๊าซเรือนกระจกเพื่อไม่ให้ถูกกีดกันทางการค้า แต่เมื่อทำไปๆ ก็เริ่มเห็นแล้วว่า ทำไปเถอะ
.
ก้อนที่สาม ที่ปลุกเท่าไหร่ก็ยังไม่ตื่น คือเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพที่มันกำลังขาดสะบั้นลงทีละท่อนๆ และเป็นสิ่งที่ประเทศมหาอำนาจกลัวที่สุด กลัวยิ่งกว่าโลกร้อน แต่โลกเราเจอ 3 ก้อนนี้พร้อมกันโดยไม่มีทางสู้อื่นนอกจากความรู้ เพราะการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจการค้า ทุกอย่างเป็น negotiable คือต่อรองได้ ขอแค่รู้เถอะว่าต้องไปคุยกับใคร คุณมีอะไรไปแลกกับเขาหรือยัง
.
มนุษย์ต่อมนุษย์คุยกันได้ แต่มนุษย์กับระบบนิเวศต่อรองกับใครไม่ได้ มันถึงเวลาจะพัง ก็พัง แมลงปอหายไป ผึ้งหายไป สัตว์ผสมเกสรหายไป ไม่รู้จะไปต่อรองกับใคร
.
การขาดสะบั้นลงของความเชื่อมโยงระบบนิเวศที่เรียกว่าความหลากหลายทางชีวภาพคือตัวที่อันตรายที่สุด ไม่มีใครเข้าใจเรื่องนี้ จนกระทั่งโควิด-19 เข้ามาเป็นจุดเปลี่ยน มันทำให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยว และสารพัดกิจการล้มครืนไปเฉยๆ มันจึงเป็นคลื่นลูกที่ 1 ระดับ Global Scale ส่วนคลื่นลูกที่สองใหญ่กว่าคลื่นลูกแรกอีก คือคลื่นความถดถอยทางเศรษฐกิจ คลื่นตัวที่สามคือ Climate Change ใหญ่กว่าคลื่นตัวที่สองและตัวที่หนึ่ง
.
สำหรับคลื่นตัวที่ 4 คือการขาดสะบั้นลงของชีวภาพ ใหญ่กว่า 3 คลื่นข้างหน้ารวมกัน
.
นี่เป็นภาพที่ผมคิดว่า ไม่เคยมีมาก่อนเลยที่ประวัติศาสตร์มนุษยชาติจะได้เห็นสเกลระดับโลกแบบเปรียบเทียบและจินตนาการได้อย่างนี้ เรื่องสิ่งแวดล้อม คุณต่อรองกับใครไม่ได้ คุณจะต้องเปลี่ยนตัวคุณ และพาให้คนอื่นเข้าใจและไปเปลี่ยนตัวเขาเอง เพราะคุณเปลี่ยนใครไม่ได้

ช่องว่างระหว่าง ‘เจน’ โกรธกัน ชังกัน ไม่ได้ยินเสียงกันและกัน เหตุเกิดเพราะ ‘สิ่งแวดล้อม’?

เจน Z ไม่รับเลยกับเจน X และก่อนหน้า เขารู้สึกว่าพวกเธอเป็นกลุ่มทำลายสิ่งแวดล้อม ทำไมฉันถึงถูกพวกเธอแย่งงานไปหมดแล้ว พวกเธอแย่งทรัพยากรไปครอบครองฉันจะหาที่ดินสักชิ้นหาไม่ได้ อย่างมากฉันก็ได้แค่ครองอพาร์ตเมนต์ นี่คือเรื่องของเจเนอเรชั่นแกป (generation gap-ช่องว่างระหว่างวัย) ถามว่าเจเนอเรชั่นแกป เกิดจากอะไร ตอบเลยว่า เกิดจากสิ่งแวดล้อม เพราะเจเนอเรชั่น รุ่น BUILDER จนถึง Gen x ได้ใช้มันไปจนเกือบหมดแล้ว

เจเนอเรชั่นหลัง Gen y เลือกว่าฉันไม่เอาอนาคตแล้ว ฉันใช้ทุกวันนี้ให้สุดทางไปเลย เป็นไงเป็นกัน ยังไงพวกเธอก็ไม่เหลือทรัพยากร ไม่เหลือกลไกทางสิ่งแวดล้อมไว้เผื่อพวกฉัน นี่ขนาดเป็นธรรมชาติ ถ้าเป็นเงินตราและอื่นๆ ไม่มีอะไรได้ครองเลย เพราะฉะนั้นจึงกลายเป็นความโกรธและชังกันเองในชาติ ในทุกๆ ชาติ ในญี่ปุ่น ไทย ไต้หวัน ในเอเชียเป็น อเมริกา ยุโรปก็เป็น

เจนต่างๆ มีฐานความรู้ต่าง ฐานทรัพยากรต่าง และต่างก็อยู่ใน echo chamber ของตนเอง ไม่ได้ยินเสียงกันและกัน เริ่มไม่เห็นใจกันและกัน แล้วก็เริ่มไม่สามัคคีกันโดยไม่ตั้งใจ แม้แต่ในครอบครัว

นักท่องเที่ยว อย่าเน้นจำนวนหัว ‘ถ้าคุณภาพมี เดี๋ยวมูลค่าก็มาเอง’

ประเทศไทยเรามีสงครามสีทางการเมืองต่อเนื่อง 20 ปี โดยใน พ.ศ.2545 เริ่มมีการปรับปรุงกระทรวง กรม แต่ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางความคิด ต่อมาในปี 2547 เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง มีความต้องการตั้งกระทรวงใหม่ 6 กระทรวง ตอนนั้นทุกคนคิดว่ามันน่าสนใจมาก ทั้งที่ไม่รู้ว่าออกมาดีหรือเปล่า

หนึ่งในนั้น คือกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งเมื่อ 20 ปีที่แล้วยังไม่มีใครเห็นเลยว่าท่องเที่ยวและกีฬามันจะกลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือทางเศรษฐกิจใหญ่ ตอนนั้นมีนักท่องเที่ยวไม่ถึง 8-9 ล้านคนต่อปี แล้ววันหนึ่งในสมัยที่ผมเป็นรัฐมนตรีสมัยที่ 3 แตะไปที่ 40 ล้านคน

และนักท่องเที่ยวก็สร้างผลกระทบให้สิ่งแวดล้อม ดังนั้น ตอนที่ผมเป็นรัฐมนตรีจึงขุดวิธีคิดใหม่ว่าอย่าไปยุ่งกับจำนวนหัวมากนัก ให้สนใจเรื่องคุณค่า พอเป็นเรื่องคุณค่าแล้วเราจะสนใจเรื่องคุณภาพ ถ้าคุณภาพมี เดี๋ยวมูลค่ามันตามขึ้นมาได้เอง อย่าเอามูลค่าเป็นที่ตั้ง เลยเป็นที่มาว่าทำไมถึงมาทำเรื่องท่องเที่ยว ทำเรื่องสิ่งแวดล้อม เพราะตอนที่ผมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวฯ เมื่อปี 2018 มีนักท่องเที่ยวเข้ามา 35 ล้าน ผมไปรับที่สนามบินด้วยตัวเอง เพื่อบอกกับคนไทยว่า บัดนี้เรามีต่างชาติเข้ามาครึ่งหนึ่งของจำนวนประชากรไทย เราไม่ได้มีทรัพยากรที่แบ่งใช้ 70 ล้านแล้วนะ แต่ต้องแบ่งครึ่งเท่าตัว

อีก 1 ปีต่อมาผมไปรับอีก 40 ล้านคน คราวนี้เป็นชาวจีน การบริหารความเป็นธรรมในการเข้าถึงทรัพยากรคือสิ่งสำคัญ พอพ้นจากรัฐมนตรีท่องเที่ยว ผมถูกขอให้เป็นกรรมาธิการทางด้านกีฬา จากนั้นเขาก็อยากจะสร้างกรรมาธิการแก้ไขปัญหาความยากจน นั่งมาครบปี ผมเห็นว่าเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างทางสังคม เลยย้ายมาอยู่ที่กรรมาธิการสิ่งแวดล้อมและอยู่ยาวจนจบ ได้สนทนากับใครต่อใคร เลยเห็นว่าปัญหามันใหญ่และซับซ้อนกว่าที่คิด

แนะจ้องมลภาวะโลกร้อน ‘ชุดใหม่’ แก้ปมขยะ ทำน้ำให้ใส ‘มันช้าไปแล้ว’ 

ในอดีตเราทำเรื่องสิ่งแวดล้อมเพื่อแก้ปัญหา 15 ปีก่อน คุณจะกลับไปแก้ปัญหาขยะ ทำให้น้ำใส มันช้าไปแล้ว คุณจะต้องมองไปถึง Climate Change pollution ชุดใหม่

ตอนที่ผมเพิ่งมา ไมโครพลาสติกมันเพิ่งเป็นประเด็น และมันก็ก้าวไปสู่การที่ไมโครพลาสติกอยู่ในห่วงโซ่อาหาร อยู่ในน้ำนมแม่ อยู่ในสมองมนุษย์ มนุษย์บริโภคพลาสติกต่อปีรวมกันเท่ากับ 1 บัตรเครดิต

ผมเห็นว่าเรามาเรียนรู้เรื่องนี้แล้วใช้ความรู้ในอดีตที่ทำงานการเมืองอย่างยาวนานมาสื่อสารสังคมดีกว่า เมื่อเราสื่อสาร เรารู้แล้วว่าเรารู้มากขึ้น เรายังสื่อสารข้ามเจเนอเรชั่นได้สำเร็จ นี่แหละครับหัวใจใหญ่ ผมคงไม่เปลี่ยนฟีลแล้ว ฟีลสิ่งแวดล้อมจะเป็นฟีลหลัก ทำให้ผมกลับมาจับทิศทางหนึ่ง นั่นคือกฎหมาย สอง วิทยาศาสตร์ที่ผมไม่ได้เรียน ผมเป็นเด็กสายศิลป์ แต่เมื่อเข้าใจมันแล้ว พอได้จับแล้ว โอ้โห! วิทยาศาสตร์นี่มันดีจริงๆ

การบรรยายตามที่ต่าง ๆ ผมจะไล่ทีละขั้น ผมมาเพื่อสร้างความน่าสนใจ เพราะคุณจะไปศึกษาเองต่อ แล้วคุณถึงจะเริ่มเข้าใจ คุณถึงจะมีแรงบันดาลใจ แรงบันดาลใจมาจากคุณไม่ใช่ผม แล้วคุณจะเข้าใจด้วยตนเอง แล้วคุณเริ่มตั้งใจที่จะทำมัน นั่นต้องมีปริมาณมากขนาดนั้นในเชิงผู้บริโภคจึงเปลี่ยนแปลงในทิศทาง